คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อ : สารคดีที่เปิดเผยชีวิต “คนทำงานหนักผู้ยากจน”

โดย เจ บุนรัก

“...ความรู้สึกที่สมควรจะมีอย่างยิ่งก็คือความละอาย ละอายที่เราต้องพึ่งพาแรงงานเหล่านั้นในขณะที่พวกเธอได้ค่าจ้างต่ำกว่าที่ควรได้ เมื่อใครบางคนทำงานที่ได้เงินเดือนไม่เพียงพอให้ตัวเองยังชีพได้ เมื่อใครบางคนต้องหิวโหยเพื่อให้คุณสามารถกินอาหารราคาถูกลงและสะดวกสบายมากขึ้น นั่นคือการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพวกเธอ...พวกเธอละเลยการดูแลลูกของตนเองเพื่อให้ลูกของคนอื่นได้รับการดูแล อาศัยอยู่ในบ้านคุณภาพต่ำเพื่อที่ว่าบ้านของคนอื่นจะได้ส่องประกายเรืองรองและเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกเธอต้องทนอยู่อย่างขาดแคลนเพื่อที่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะได้ต่ำและราคาหุ้นจะได้สูง..”


นี่คือส่วนหนึ่งในข้อสรุปของบาบาร่า เอห์เรนไรช์ ผู้เขียน “คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อ” (Nickel and Dimed: On (not) Getting By in America แปลเป็นภาษาไทยโดย ดาหาชาดา สำนักพิมพ์มติชน, พ.ศ. 2550) ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสะท้อนความผิดพลาดของการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมในสหรัฐอเมริกาได้อย่างแหลมคม และท้าทายสังคมให้แสวงหานิยามและทางออกที่สร้างสรรค์ขึ้นของ “ความยากจน”

บาบาร่าซึ่งจบปริญญาเอกผู้มีรายได้ดี และเป็นนักเขียนสารคดีวิพากษ์สังคมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเริ่มต้นงานชิ้นนี้จากความสงสัยว่าคนเราจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไรจากการมีรายได้น้อยนิดเช่นที่แรงงานไร้ฝีมือได้รับ แล้วบรรณาธิการวารสารเล่มหนึ่งก็สนับสนุนความคิดของเธอที่จะลองปลอมตัวเข้าไปทดลองใช้ชีวิตเป็นแรงงานรับจ้างด้วยตัวเอง “คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อ” เป็นเรื่องราวที่บาบาร่าคนพ้บจากการลองทำงานรับจ้างในร้านอาหาร ศูนย์ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ทำความสะอาดบ้าน และพนักงานจัดสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ต ในสามเมืองของอเมริกา ในช่วงปีค.ศ. 1998-2000

เป็นที่พูดกันโดยทั่วไปว่าสังคมอเมริกันมีความเท่าเทียมกันทางโอกาส คนที่ทำงานย่อมไม่ยากจน และคนขยันย่อมมีหนทางสู่ความร่ำรวย แนวคิดนี้สอดรับกับความเชื่อที่นำไปสู่การยกเลิกสวัสดิการสังคมครั้งใหญ่เมื่อปี 1996 ที่ว่าการมีงานทำจะทำให้ทุกคนหายจนได้ ทว่าสิ่งที่บาบาร่าพบจากโครงการเขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ แรงงานจากชนชั้นยากจนหลายล้านคนที่ถูกผลักไสจากความช่วยเหลือที่จำเป็นของรัฐนั้นกำลังดิ้นรนมีชีวิตเหนื่อยยากจากการทำงานรายได้น้อย ทว่าเรียกร้องความทุ่มเทและการยอมจำนนต่อเผด็จการรูปแบบต่างๆในองค์กรที่ลดทอนและลบหลู่ความเป็นมนุษย์อย่างร้ายกาจ

งานรับจ้างรายได้น้อยที่ถูกเรียกว่างานไร้ทักษะนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอยู่ตลอดเวลา ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ปัญหาใหญ่ของแรงงานเหล่านี้คือการจัดสรรรายได้น้อยนิดนี้ให้พอเพียงกับค่าครองชีพที่แม้จะไม่ใช่รูปแบบที่สุขสบาย แต่ก็ดึงเอารายได้จากหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขาไปจนหมด โดยเฉพาะกับค่าที่อยู่อาศัยที่หายากและแพงขึ้นทุกขณะ แรงงานจำนวนมากทำงานมากกว่าหนึ่งแห่งเพื่อให้มีรายได้พอค่าใช้จ่ายจำเป็น ซึ่งหมายถึงชั่วโมงการทำงานยาวนานที่เพิ่มความเหนื่อยล้าให้ร่างกาย และโดยมาก ไม่มีใครได้รับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ซ้ำร้าย แรงงานเหล่านี้ยังถูกมองจากนายจ้างหรือผู้จัดการอย่างไม่ไว้วางใจอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นพวกขี้เกียจ ขี้ขโมยและติดเหล้า
แม้จะถูกมองว่าเป็นงานต่ำต้อย แต่บาบาร่าพบว่าไม่มีงานใดเลยที่ไม่ต้องการทักษะหรือความเอาใจใส่ในงาน หรือความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ทางเทคนิคและการใช้เครื่องมือใหม่ๆ แต่ไม่ว่าแรงงานเหล่านั้นจะทำงานหนักในสถานการณ์ยุ่งยากได้ดีเพียงไร พวกเขาและเธอก็ไม่ได้รับคำชมเชยหรือความชื่นชมใดๆ นอกเหนือจากการประเมิณว่าผ่านมาตรฐานของการเป็นแรงงานในกิจการนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ต้องการพลังงานมากมายจนอาจทำให้ร่างการเสื่อมโทรมในเวลาไม่นาน คงไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีความก้าวหน้าในสายงานใดใดรออยู่เลย

เพื่อนร่วมงานของบาบาร่าแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาและเธอมาจากการเรียนรู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับความเหนื่อยล้า หรือใช้มันเป็นเป็นเครื่องเตือนใจว่าสามารถทำงานมาได้มากขนาดไหนและเสริมพลังที่จะอดทนทำงานนั้นต่อไป ซึ่งเป็นการฝืนหลอกตัวเองที่ทำให้ผู้หญิงชนชั้นกลางอย่างบาบาร่าหมดความอดทนในไม่ช้า และนั่นทำให้เธอต้องการกระแทกคำถามต่อสังคมว่าเหตุใดคนที่อดทนและทุ่มเทกับงานมากเพียงนี้จึงได้ผลตอบแทนแย่กว่าที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่มีคุณภาพได้อย่างยั่งยืนมากมายนัก นั่นคงเพราะมีความผิดพลาดยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในสังคมแน่ๆ และสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นชาติร่ำรวยและเป็นชาติประชาธิปไตยที่โดดเด่นก็ไม่ควรภูมิใจในตัวเองได้เลย

คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อชี้ให้เห็นภาวะฉุกเฉินของคนจนในอเมริกาที่รัฐและสังคมไม่ควรนิ่งเฉยอีกต่อไป การเปิดเผยความไม่เป็นธรรมในสังคมและความผิดพลาดในนโยบายเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคมในหนังสือเล่มนี้ยังสะท้อนภาพสังคมอื่นๆด้วยเช่นกัน รวมทั้งสังคมไทยที่มูลค่าทางเศรษฐกิจที่แรงงานสร้างขึ้นยังถูกมองอย่างไร้ความสำคัญและได้รับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด แม้ว่าสังคมจะพึ่งพาพวกเขามากมายเหลือเกิน

ทุกวันนี้แรงงานอพยพจากประเทศพม่าเข้ามาทำงานรับจ้างในประเทศไทยนับล้านคน โดยเฉพาะในประเภทงานที่จัดว่าได้รับค่าจ้างต่ำมากที่สุด แม้จะเป็นการงานที่ยากลำบาก อันตรายหรือสกปรก และโดยมากได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ถุกหักใช้หนี้แก่ขบวนการนายหน้า และต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลและการทำบัตรอนุญาตทำงานด้วยค่าแรงของตนเอง เป็นที่รับรู้กันว่าความแร้นแค้นในชนบทพม่าอันเกิดจากการกดขี่ข่มเหงและนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลทหารพม่าเป็นแรงผลักดันให้ชาวพม่าหลั่งไหลมาหางานทำในประเทศไทย ซึ่งทำให้เชื่อกันว่าความเป็นอยู่ของแรงงานอพยพจาพม่าในเมืองไทยนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าชีวิตที่บ้านเกิดมากนัก โดยไม่มีใครใส่ใจใคร่รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างไร

คงเป็นเช่นที่บาบาร่าสรุปไว้ในตอนท้ายของหนังสือว่าคนที่ไม่เคยจนหรือห่างไกลจากความยากจนมักมองว่าสำหรับคนจนแล้วความยากจนก็เป็นภาวะที่พวกเขาเคยชินและยอมรับที่จะอยู่ในสภาพเช่นนั้นเองในที่สุด แต่คนไม่จนยากจะเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดจากการ “ก้มหน้าก้มตา” รับความเหนื่อยล้าหรือป่วยไข้ พร้อมกับต้องขบฟันแน่นเพื่อให้อดทนทำงานต่อไปได้ เนื่องจากไม่มีค่าชดเชยเมื่อเจ็บป่วย และการขาดรายได้ไปหนึ่งวันเท่ากับจะไม่มีข้าวกินในวันรุ่งขึ้น

นอกจากการตอบตัวเองว่าเราควรรู้สึกอย่างไรกับคนจนและความยากจนดังที่บาบาร่าต้องการให้ผู้อ่านหนังสือของเธอขบคิดอย่างจริงจังแล้ว คำถามสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เราควรเรียกร้องให้รัฐหันมาสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะให้คนยากจนผู้ทำงานหนักได้รับการตอบแทนสมกับที่ควรจะได้รับ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถดำรงวิถีชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับที่เราทุกคนปรารถนา