โดย ธันวา สิริเมธี
![]() |
น้อย กับสภาพที่มีเหล็กดาม อยู่ที่ขา กับลูกชายวัย 3 ขวบ |
น้อย ผู้เป็นพ่อวัย 27 ปี ค่อย ๆ เดินโขยกเขยกออกจากห้องพักมองไปทางพร ภรรยาวัย 23 ปีที่กำลังกระโดดลงจากรถบรรทุกคนงานด้วยท่าทางอิดโรย เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นมอมแมม
นับตั้งแต่น้อยถูกรถชนขาหักเมื่อสามเดือนก่อน พรก็ต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักหารายได้เลี้ยงครอบครัว ภรรยาสาวส่งยิ้มให้สามีพร้อมกับกางแขนโอบกอดลูกชายที่วิ่งเข้ามาหาแม่ด้วยความดีใจ พรอุ้มลูกชายเดินเข้าห้องเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำและทำอาหารเย็น เช่นเดียวกับเพื่อนแรงงานอีกกว่า 20 ครอบครัวที่ต่างกำลังสาละวนกับภารกิจเดียวกัน
ครอบครัวของน้อยและพรอาศัยอยู่ในเรือนแถวสังกะสีซึ่งผู้รับเหมาสร้างให้คนงานของตนพัก ในเรือนแถวสังกะสีจะแบ่งออก เป็นห้องเล็กๆ ขนาดประมาณ 15 ตารางเมตรสำหรับแรงงานหนึ่งครอบครัว หากเป็นคนโสดจะถูกจัดให้พักด้วยกันห้องละ3-4 คน ภายในห้องพักเล็กๆจะเต็มไปด้วยข้าวของจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันวางหลบมุมไว้รอคอยหยิบออกมาใช้งานเมื่อถึงเวลา ตกค่ำ โต๊ะสี่เหลี่ยมแบบตั้งพื้นค่อยๆ ถูกเลื่อนมากลางห้องเพื่อทำหน้าที่รองรับอาหารเย็น หลังจากนั้นจึงถูกเลื่อนกลับไปหลบไว้ยังมุมห้องเพื่อหลีกทางให้ที่นอนผืนกว้างได้แผ่ตัวรองรับร่างกายอันเหนื่อยล้า สมาชิกทุกคนค่อย ๆ เอนกายนอนดูทีวีก่อนจะหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย ไฟแต่ละห้องค่อยๆ ดับลงทีละดวงจนกระทั่งเรือนแถวสังกะสีอยู่ในความมืด
หกโมงเช้าของวันใหม่ ชีวิตในชุมชนแรงงานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พ่อแม่ต่างเร่งให้ลูกอาบน้ำกินข้าวและพาไปส่งโรงเรียนใกล้ๆ เพื่อกลับมาให้ทันขึ้นรถบรรทุกขนคนงานไปยังไซต์ก่อสร้างตอน 8 โมง หลังจากคนงานทยอยขึ้นรถจนเต็มแน่นแทบไม่มีที่ว่าง ผู้รับเหมาจึงออกรถมุ่งหน้าไปยังโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ที่รอคอยสองมือของพวกเขาและเธอวางฐานราก ก่ออิฐ โบกปูนจนกลายเป็นบ้านหลังใหญ่มูลค่าหลายล้าน รถบรรทุกวิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ ทิ้งเพียงฝุ่นแดงและเรือนแถวสังกะสีที่เพิ่งย้ายมาตั้งอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาไว้ข้างหลัง
"บ้าน" อยู่ที่ไหน?
"พ่อ...บ้านเราอยู่ที่ไหนกันแน่" อ๊อดมักถามพ่อทุกครั้งที่ต้องย้ายบ้านพักคนงานก่อสร้างไปใกล้สถานที่ทำงานใหม่ของพ่อและแม่ ผู้เป็นพ่อมักนิ่งเงียบแทบคำตอบ เพราะมันอาจซับซ้อน เกินกว่าเด็กวัยสามขวบจะเข้าใจ
หากหมายถึง "บ้านเกิด" ของเขา คำตอบก็คือหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชนบทของเมืองปั่น ภาคกลางของรัฐฉาน ซึ่งปัจจุบันถูกทิ้งร้างเพราะถูกทหารพม่าบังคับให้ไปอยู่ในเขตควบคุม น้อยเล่าถึง "บ้านเกิด" ให้ฟังว่า
"บ้านของผมทำไร่ทำนา ผลผลิตที่ได้มาจะต้องแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ส่วนหนึ่งให้ทหารพม่า ส่วนที่สองให้ทหารไทใหญ่ ส่วนที่เหลือเก็บไว้กินในครอบครัว หากปีไหนได้ผลผลิตน้อยก็ไม่พอกิน ตอนปี 36 ผมกับคนในหมู่บ้านอีกเกือบ 50 คนตัดสินใจ มาหางานทำที่เมืองไทย หลังจากนั้นประมาณปี 39 ทหารพม่าก็สั่งย้ายหมู่บ้านของผมไปอยู่ในเขตเมือง พ่อแม่ไม่มีไร่นา ต้องทำงานรับจ้างในเมือง รายได้ต่อวันยังไม่พอซื้อผงชูรสสักถุง ผมต้องทำงานเก็บเงินส่งไปให้และกลับไปเยี่ยมบ้านทุกสองปี แต่หลังจากพ่อแม่ตายเมื่อสี่ห้าปีที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย"
ส่วน "บ้านเกิด" ของเพื่อนแรงงานชาวไทใหญ่ที่เดินทางมาจากภาคกลางของรัฐฉานก็เผชิญชะตากรรมไม่แตกต่างกัน เนื่องจากนับตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา รัฐบาลทหารพม่ามีนโยบาย กวาดล้างกองกำลังไทใหญ่ภายใต้การนำของเจ้ายอดศึก โดยสั่งอพยพชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตชนบททางภาคกลางของรัฐฉานกว่า 1,300 หมู่บ้านให้ไปอยู่ในเขตเมือง นโยบายนี้ทำให้ชาวบ้าน กว่า 3 แสนคนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ และคนหนุ่มสาวนับหมื่นคนต่างทยอยเดินทางข้ามชายแดนมาทำงานในเมืองไทยเพื่อส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ที่รอคอยอยู่ที่บ้านเกิด
แรงงานไทใหญ่ที่เดินทางมาทำงานในเมืองไทยส่วนใหญ่ จะทำงานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับรัฐฉาน แผ่นดินเกิดที่พวกเขาจากมา โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นทำงานรับจ้างทำสวนบริเวณชายแดน โดยเฉพาะอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แต่เนื่องจากค่าแรงน้อยเพียง วันละ 60 บาท และต้องสูดดมกับสารเคมียาฆ่าแมลงทุกวัน แรงงาน ส่วนหนึ่งจึงเดินทางเข้ามาทำงานรับจ้างในเมือง โดยมีญาติพี่น้องที่เดินทางมาก่อนชักชวนให้มาทำงานด้วยกัน ในกรณีแรงงานก่อสร้าง ซึ่งต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนตามไซต์งาน แรงงานไทใหญ่ที่เป็นญาติพี่น้องจาก "บ้านเกิด" เดียวกันมักอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน บางคนอาจมาจากต่างเมืองแต่มาพบรักและแต่งงานกันที่เมืองไทย ชุมชนแรงงานก่อสร้างแต่ละแห่งจึงเกิดการผสมผสาน ระหว่างชาวไทใหญ่จากเมืองต่างๆ จนกลายเป็นกลุ่มเครือญาติและเพื่อนใหม่ที่กว้างขวางกว่าชุมชนเดิม และคอยช่วยเหลือดูแลกันในยามมีปัญหา
น้อยและพรเป็นหนึ่งในคู่รักต่างเมืองที่มาพบรักและสร้างครอบครัวใหม่ที่เมืองไทย น้อยเดินทางมาจากเมืองปั่น ส่วนพร เดินทางมาจากเมืองโต๋น ต่างคนต่างตระเวนทำงานรับจ้างมาหลายประเภท เริ่มจากทำสวนส้มแถวอำเภอฝาง หลังจากนั้นจึงย้ายมาทำงานรับจ้างในเมืองเชียงใหม่ โชคชะตานำพาให้น้อยมาพบกับพรที่ร้านอาหารที่พรทำงานอยู่ หลังจากคบหาดูใจจนตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ทั้งคู่จึงโทรศัพท์ไปบอกทางบ้าน และจัดงานเลี้ยงแต่งงานแบบเรียบง่ายที่ห้องเช่าของฝ่ายหญิง ก่อนจะย้ายมาอยู่ใน "บ้าน" หรือ ห้องเช่าใหม่ด้วยกัน
พรทำงานที่ร้านขายอาหารจนกระทั่งเด็กชายอ๊อดออกมาลืมตาดูโลก หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาทำงานก่อสร้างเช่นเดียวกับสามี เพราะผู้รับเหมาจะอนุญาตให้พักในแค้มป์คนงานได้หากทั้งสามีและภรรยาทำงานในโครงการก่อสร้างเดียวกัน
จนถึงวันนี้เป็นเวลาสามปีแล้วที่เด็กชายอ๊อดเติบโตมาในบ้านสังกะสี ซึ่งมักจะถูกถอนย้ายไปตั้งยังสถานที่แห่งใหม่หลังจากจบโครงการก่อสร้างโครงการหนึ่ง ทุกครั้งที่เห็นพ่อนำข้าวของออกมากองบนลานหน้าบ้านพร้อมกับเพื่อนคนงานอื่น ๆ อ๊อดก็มักจะถามพ่อถึงปลายทางของบ้านสังกะสีบนพื้นที่แห่งใหม่ ซึ่งทั้งน้อยและพรก็ไม่เคยมีคำตอบให้กับลูกชายตัวน้อยได้สักครั้ง เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าสถานที่ทำงานแห่งใหม่จะอยู่ที่ไหน หน้าที่ของพวกเขามีเพียงกระโดดขึ้นรถบรรทุกและปล่อยให้ผู้รับเหมานำพาไปยังโครงการก่อสร้างแห่งใหม่เท่านั้นเอง
ชีวิตเล็ก ๆ ในเมืองใหญ่
"ตกลงหนี้ของเธอรวมเป็น 155 บาทนะ" มาลา ไคร้วงเดือน เจ้าของรถกับข้าววัย 40 ปีบอกยอดรวมหนี้ค่ากับข้าวกับแรงงานลูกค้าประจำ เธอก้มหน้าจดตัวเลขลงบนสมุดบันทึกเล่มเล็ก ซึ่งมีบัญชีหนี้ค่ากับข้าวของแรงงานในชุมชนแห่งนี้ อันที่จริง บ้านของเธออยู่แถวมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งเป็นไซต์งานเก่าของชุมชนแรงงานแห่งนี้ และห่างจากอำเภอหางดงซึ่งเป็นไซต์งานก่อสร้างแห่งใหม่หลายสิบกิโล เธอบอกถึงเหตุผลที่เสียค่าน้ำมันเดือนละหลายพันบาทเพื่อเดินทางมาขายกับข้าวที่นี่ว่า เป็นเพราะแรงงานในชุมชนแห่งนี้มีความรับผิดชอบในการชำระหนี้ค่ากับข้าวที่ค้างไว้ เธอจึงตามมาให้บริการถึงที่นี่ มาลาอธิบายระบบการเปิดบัญชีหนี้ค่ากับข้าวให้ฟังว่า
"ถ้าค่าแรงยังไม่ออก ฉันจะอนุญาตให้แรงงานเปิดบัญชีหนี้กับข้าวได้ พอค่าแรงออกแรงงานก็จะเอามาให้ ฉันจะคอยถามหัวหน้าคนงานว่าค่าแรงออกหรือยัง ถ้าออกแล้ว ใครยังไม่ยอม เอามาจ่ายหรือจ่ายไม่หมดก็จะเสียเครดิตถูกจำกัดวงเงินหนี้ครั้งต่อไป แต่ถ้าใครไม่เหนียวหนี้ เงินออกแล้วจ่ายหมดเลย ฉันจะเปิดวงเงินให้เอากับข้าวไปกินก่อนแบบไม่อั้น ฉันจะยอมเปิดบัญชีหนี้กับข้าวให้เฉพาะแรงงานในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างนานเป็นปี ถ้าเป็นโครงการสร้างบ้านหลังเดียวจบ จะไม่ให้เปิดเพราะตามเก็บเงินลำบาก"
![]() |
รถขายกับข้าวที่พึ่งพายามยากของคนงาน |
"ถ้าค่าแรงไม่ออกแล้วเราไม่ให้เขาติดหนี้ เขาก็ไม่มีกับข้าวกิน แต่ถ้าค่าแรงออกแล้วเขาไม่จ่ายหนี้ เราก็ไม่มีเงินเลี้ยงลูกเหมือนกัน ลูกของเราจะมีเงินไปโรงเรียนหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับเงินเล็กๆน้อยๆของแรงงานเหล่านี้นี่แหละ เรียกว่าเขาก็พึ่งเรา เราก็พึ่งเขา"
ตามปกติ ผู้หญิงจะได้ค่าแรงวันละ 120-130 บาท ส่วนผู้ชายจะได้วันละ 170-200 บาท ค่าแรงจะออกเป็นงวด งวดละ 15 วัน หรืออาจนานกว่านั้น หากงานยังไม่เสร็จตามเป้าและผู้รับเหมายังไม่ได้รับเงินงวดจากเจ้าของโครงการ หลังจากได้รับเงินค่าแรง แรงงานแต่ละคนจะเริ่มจัดสรรระบบการเงินของตนเอง โดยแบ่งเป็นเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเงินเก็บเพื่อส่งไปทางบ้านหรือสำรองในครอบครัว
![]() |
มาลา ไคร้วงเดือน กำลังจดบัญชีนี้กับข้าวลงในสมุด |
กรณีคนโสด หากไม่มีนิสัยดื่มเหล้า ชอบแต่งตัว หรือชอบเที่ยวก็จะมีเงินเก็บมากกว่าคนที่มีครอบครัวและมีลูกแล้ว บางคน จะเก็บเงินเพื่อผ่อนของใช้ที่อยากได้ทีละชิ้น น้อยลำดับสิ่งของที่เขาสามารถผ่อนจนหมดด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองก่อนถูกรถชนให้ฟังว่า
"ผมเริ่มจากผ่อนมอเตอร์ไซค์เดือนละ 1,400 บาทเป็นเวลา 2 ปีกว่า หลังจากนั้นก็ผ่อนตู้เย็น 5.5 คิวเดือนละ 390 บาทอีกปีกว่า แล้วก็ผ่อนทีวี 21 นิ้วเดือนละ 500 กว่าบาทอีกปีกว่า ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องผ่อนแล้ว"
หากมีเงินเหลือจากค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แรงงานส่วนใหญ่มักนิยมนำเงินไปซื้อทองรูปพรรณ เช่น แหวน สร้อย หรือกำไล เก็บไว้แทนเงินสด เพราะสามารถพกติดตัวและมีโอกาสหายน้อยกว่าการเก็บเงินสด และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็จะนำทองไปขาย วิธีการเก็บสะสมทองคำจะเริ่มจากการซื้อทองหนึ่งสลึงและขยับเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหลายบาท หรือบางคนอาจจะใช้วิธีการเล่นแชร์ในกลุ่มเพื่อนที่ไว้ใจได้ ตัวอย่างเช่น หากต้องการซื้อทองคำหนึ่งบาทซึ่งมีมูลค่า 8,000 บาท คนที่สนิทกัน 4 คนจะนำเงินค่าแรงที่ออกแต่ละงวดมาลงขันกันคนละ 2,000 บาทเพื่อนำไปซื้อทอง 1 บาท โดยตกลงกันว่าใครจะได้ทองในแต่ละครั้ง หลังจากเงินค่าแรงออกจนครบ 4 งวด ทุกคนก็จะมีทองคำคนละหนึ่งบาท ช่วงเวลาที่แรงงานนิยมนำทองคำไปขายเป็นเงินสดมาใช้มากที่สุดคือช่วงทำบัตรอนุญาตทำงานปีละ 3,800 บาท
น้อยบอกว่า เขาเองก็เคยมีทองสะสมถึง 5 บาท แต่หลังจาก ถูกรถชนไม่ได้ทำงานนานกว่าสามเดือน ทองที่เคยสะสมไว้ก็ถูกนำออกมาขายจนไม่มีเหลือสักบาท แถมยังมีแต่หนี้สินค่าผ่าตัดขาที่โรงพยาบาลอีกเจ็ดหมื่นบาท เนื่องจากครอบครัวคนไทยที่ขับรถชนหลบหน้าไม่ยอมมาชำระค่ารักษาให้
"ทางโรงพยาบาลบอกว่า ถ้าคนชนไม่ยอมจ่ายผมก็ต้องฟ้องศาลหรือไม่ก็ต้องหาเงินมาจ่าย เพื่อนผมที่ถูกคนไทยขับรถชนก็เจอปัญหาเดียวกัน เพราะเค้าคิดว่าเราเป็นแค่แรงงานอพยพ ไม่มีเงินหรือความรู้จะไปสู้คดีกับเขาได้ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง เหมือนกัน ทุกวันนี้แฟนผมหาเงินอยู่คนเดียวก็ยังแทบไม่พอกินแต่ละวันเลย"
ทุกวันนี้ พรต้องทำงานหาเงินคนเดียวด้วยรายได้วันละ 120 บาท พร้อมกับอุ้มท้องลูกชายคนที่สองไว้ได้ 4 เดือนแล้ว อีกไม่กี่เดือนเธอก็คงต้องหยุดทำงาน ขณะที่สามีของเธอก็ยังเดินไม่ถนัด และหมอบอกว่าจะไม่สามารถกลับมาทำงานก่อสร้างได้อีกต่อไปเพราะขาของเขารับน้ำหนักของถุงปูนไม่ไหว เธอจึงทำงานทุกวันโดยไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์เนื่องจากไม่ต้องการขาดรายได้ มีเพียงวันเด็กที่ผ่านมาเท่านั้นที่เธอขอลาหยุดครึ่งวันเช้าเพื่อพาลูกชายไปเที่ยว และกลับมาทำงานในช่วงบ่ายเพื่อหาเงินเป็นค่ากับข้าวของครอบครัว
พรบอกเหตุผลที่ขอหยุดงานว่า "เพื่อน ๆ ในชุมชนไปเที่ยวงานวันเด็กกันหมด แต่ลูกเราไม่ได้ไป ก็อดสงสารลูกไม่ได้"
ตามปกติ แรงงานก่อสร้างจะทำงานทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่หากรู้สึกเหนื่อยต้องการขอลาหยุดก็สามารถทำได้ แต่จะไม่ได้รับค่าแรงในวันนั้น วันหยุดที่แรงงานไทใหญ่มักขอหยุดร่วมกันจนคล้ายเป็นวันหยุดราชการในปฏิทินของผู้รับเหมา ก็คือวันสำคัญทางพุทธศาสนาตามประเพณีของไทใหญ่ เพราะเป็นเทศกาลที่ชาวไทใหญ่ให้ความสำคัญมาตั้งแต่บรรพบุรุษและต้องการสืบทอดต่อไปแม้ว่าจะอยู่ต่างบ้านเกิดก็ตาม
สายใยทางวัฒนธรรม
เดือนเมษายนปีที่ผ่านมา เด็กชายทุน วัย 10 ปี ลูกชาย คนโตของนายป๊อกและนางรุ่น เพื่อนแรงงานชุมชนเดียวกับน้อย ได้เข้าร่วมพิธีบวชลูกแก้วหรือบวชเณรในงานปอยส่างลองที่วัดป่าเป้า ใจกลางเมืองเชียงใหม่ วันนั้น เด็กชายทุนถูกแปลงร่างให้เป็นเจ้าชายน้อยมีเครื่องประดับหลากสีตั้งแต่หัวจรดเท้า และมีคน คอยแบกเขาไว้บนบ่าแห่ไปรอบๆ วัดเป็นริ้วขบวนร่วมกับเด็กชายชาวไทใหญ่วัยไล่เลี่ยกันอีกหลายสิบคน กว่าจะจัดงานนี้ได้พ่อแม่แต่ละคนต้องรวบรวมเงินเก็บของตนเองและเงินช่วยเหลือ จากญาติพี่น้องประมาณ 20,000 บาทเพื่อจะได้เห็นลูกชาย
เข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญครั้งนี้
"ผมมีเงินเก็บอยู่สี่ห้าพันบาท ส่วนที่เหลือญาติพี่น้องที่มาทำงานเมืองไทยก็ช่วยๆกัน เพราะถึงเวลาลูกของเขาบวช เราก็ช่วยเขากลับไปเหมือนกัน คนไทใหญ่ที่มาทำงานเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นญาติพี่น้องกัน เวลาเดือดร้อนก็จะช่วยเหลือกัน ถ้าไม่มีญาติพี่น้องช่วยเหลือผมก็คงบวชให้ลูกไม่ได้"
ป๊อกเล่าถึงที่มาของเงินที่ใช้ในการจัดงานบวชให้ลูกชายคนโต ขณะนี้ลูกชายคนเล็กอายุ 4 ขวบ อีกสี่ห้าปีเขาก็ต้องจัดงานบวชให้ลูกเช่นเดียวกัน เพราะหากเกิดเป็นลูกชายชาวไทใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนพ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องอยากเห็นบุตรหลานของตนได้แต่งกายเป็นเจ้าชายน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นผ้าเหลืองเรียนรู้ธรรมะในชั่วระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ หากใครอยากบวชเรียนอย่างจริงๆ จังจึงค่อยบวชเรียนอีกครั้ง
นอกจากพิธีปอยส่างลองแล้ว ชาวไทใหญ่ในชุมชนแรงงานอพยพยังคงให้ความสำคัญกับวันพระและวันสำคัญทางพุทธศาสนาเช่นเดียวกับพุทธศาสนานิกชนทั่วไป หากเป็นวันพระปกติ แต่ละครอบครัวจะเตรียมข้าวปลาอาหารถวายหิ้งพระภายใน บ้านสังกะสี หากเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา หรือ วันพระใหญ่ โดยส่วนใหญ่นิยมไปทำบุญที่วัดป่าเป้าและวัดกู่เต้า เพราะเป็นวัดเก่าแก่ของชาวไทใหญ่และมีพระชาวไทใหญ่บวชเรียนมากที่สุด
อีกหนึ่งเทศกาลสำคัญที่แรงงานก่อสร้างชาวไทใหญ่ขอหยุดงานแบบพร้อมเพรียงกัน คือ เทศกาลปีใหม่ไทใหญ่หรือปอยปีใหม่ไต ตรงกับขึ้นหนึ่งค่ำเดือนหนึ่งตามจันทรคติ โดยจะมีงานเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่แบบข้ามคืนที่วัดป่าเป้าและวัดกู่เต้ากลางเมืองเชียงใหม่เป็นประจำทุกปี
หากมีงานเทศกาลสำคัญของชาวไทใหญ่ ตั้งแต่ปอยปีใหม่ ปอยส่างลอง ปอยเข้าหว่า(เข้าพรรษา) จนถึงปอยออกหว่า (ออกพรรษา) ทั้งสองวัดแห่งนี้จะเป็นเจ้าภาพจัดงานให้ชาวไทใหญ่ได้เดินทางมาสืบทอดประเพณีเหล่านี้ต่อไป โดยในช่วงเช้า ชาวไทใหญ่จะเดินทางมาตักบาตรทำบุญ ส่วนช่วงกลางคืนจะมาร่วมงานมหรสพ อาทิ คอนเสิร์ตของศิลปินชาวไทใหญ่จากรัฐฉาน รวมทั้งเลือกซื้อสินค้าไทใหญ่มากมาย ตั้งแต่ตำราเรียน นิยาย การ์ตูน เทปเพลง รวมทั้งเครื่องแต่งกายไทใหญ่ซึ่งทุกคนมักซื้อหาเก็บไว้เพื่อใส่มาทำบุญที่วัดในช่วงเทศกาลสำคัญ
"หนูสองคนก็มีชุดไทใหญ่ใส่ไปงานปอยที่วัดป่าเป้าเหมือนกันค่ะ" เด็กหญิงเดือนและดาว ฝาแฝดวัย 7 ปีบอกด้วยความภูมิใจที่มีชุดประจำชาติใส่ไปร่วมงานเทศกาลสำคัญเหมือนกับเพื่อนๆ ในชุมชน
"ฉันก็มีชุดไทใหญ่ แต่ฝากไว้กับญาติที่อำเภอฝาง เพราะมาอยู่ที่นี่ต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ ถ้ามีข้าวของเยอะจะไม่สะดวกเวลาย้าย ถ้าอยู่ที่บ้านฝั่งโน้นจะใส่ชุดไทใหญ่บ่อย เวลาวันพระไปทำบุญก็ใส่" ข่อง สาวน้อยวัย 19 ปี ที่เพิ่งแต่งงานกับชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันบอกถึงข้อจำกัดของชีวิตที่เคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ
![]() |
ครอบครัวแรงงานก่อสร้างกำลัง โกนผมให้ลูกสาวหน้าบ้านพัก |
นอกจากวัดทั้งสองแห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ที่อยู่ในเมืองเชียงใหม่แล้ว ที่นี่ยังกลายเป็นสถานที่พบรักของชาวไทใหญ่ที่เดินทางมาจากต่างเมืองหรือเมืองเดียวกันแต่พลัดพรากกันไปนาน ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ทำให้ชาวไทใหญ่คลายความคิดถึงบ้าน เพราะได้ยิน ได้พูดคุย หรืออ่านหนังสือภาษาไทใหญ่ ท่ามกลางชีวิตที่ห่างไกลจากแผ่นดินเกิด ชาวไทใหญ่ยังคงเชื่อมร้อยสายใยทางวัฒนธรรมของตนเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่นที่วัดทั้งสองแห่งนี้
ปลายทางที่มองไม่เห็น
"ฉันมาเมืองไทยได้ห้าปีแล้ว แฟนมาจากคนละเมือง มาเจอกันที่อำเภอฝาง ตอนแต่งงานก็ได้แต่โทรไปบอกพ่อแม่เท่านั้น ตอนนี้มีลูกคนหนึ่งแล้ว พ่อแม่ยังไม่เคยเห็นหน้าแฟนกับลูกของฉันเลย เพราะถ้ากลับบ้านครั้งหนึ่งต้องใช้เงินประมาณหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นบาท ไม่เคยเก็บเงินได้สักที เพราะอยู่ที่นี่ค่าใช้จ่ายเยอะ" ข่อง วัย 24 ปี หญิงไทใหญ่จากเมืองลายค่าเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินจากครอบครัว
![]() |
เรือนแถวสังกะสีบ้านพักคนงานก่อสร้าง |
"จริง ๆ แล้ว ค่ารถจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปชายแดนพม่าแค่ไม่กี่บาท แต่ค่าเดินทางข้างในฝั่งพม่าแพงมาก และควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ค่อยได้ เพราะต้องเสียค่าด่านให้ทหารพม่านับไม่ถ้วน เวลารถโดยสารผ่านเข้าหมู่บ้านไหน ต้องจ่ายค่าผ่านด่านทั้งเข้าและออก เวลาข้ามสะพานก็ต้องจ่าย ถ้าโชคดีรถไม่เสียระหว่างทาง ใช้เวลาเดินทางไม่เกินสามวันก็ถึงบ้าน แต่ถ้าโชคร้าย รถเสียระหว่างทางก็ต้องเสียค่าโรงแรม บางครั้งใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะถึงบ้าน" น้อยแจกแจงค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้านให้ฟัง
"แรงงานส่วนใหญ่จะใช้วิธีโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ทางฝั่งโน้น เสียค่าโทรนาทีละ 30 บาท และค่าไปตามมารับโทรศัพท์อีก 1,500 จั๊ต เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีโทรศัพท์ที่บ้าน ค่าใช้จ่ายในการขอโทรศัพท์แพงมาก คนที่มีโทรศัพท์บ้านต้องเป็นคนที่มีเงิน" พร ภรรยาของน้อยบอกถึงช่องทางการติดต่อสื่อสารกับทางบ้านซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงเช่นกัน เธอจึงไม่สามารถโทรกลับบ้านได้บ่อย ๆ
"ถ้าวันไหนฝนตก ฉันมักร้องไห้คิดถึงพ่อแม่" สาวน้อยวัย 19 ปีระบายความในใจที่ห่างจากพ่อแม่มานานหลายปี และบอกถึงเหตุผลที่ยังไม่กลับบ้านว่า"อยากกลับบ้านก็อยากนะ แต่ต้องใช้เงินเยอะ แล้วก็กลับไปไม่รู้จะทำมาหากินอะไร พวกเราก็คงต้องอยู่ที่นี่ไปเรื่อย ๆ"
"ผมอยากส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน เพราะถึงเรียนจบสูงก็คงไม่มีโอกาสได้ทำงานดี ๆ อย่างคนไทย เพราะเราเป็นแค่แรงงานอพยพ เพื่อนผมบางคน พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แต่ก็ยังต้องมาทำงานเป็นยามในหมู่บ้านจัดสรร ไม่ต่างกับคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือมาเลย" น้อยระบายความกังวลใจถึงอนาคตของลูก
นอกจากเรื่องการศึกษาและอาชีพการงานที่พ่อแม่กังวลใจ แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นก็คือ "สถานะทางกฎหมาย" และการปรับตัวทางสังคม เนื่องจากเด็กๆ เกิดและเติบโตมาบนแผ่นดิน ไทย เรียนรู้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในการสื่อสารกับคนไทย และใช้ภาษาไทใหญ่ในการสื่อสารภายในครอบครัว หากอยู่ที่นี่ต่อไป เรื่อยๆ พวกเขาจะมีสถานะอะไรในสังคม หรือหากวันหนึ่งข้างหน้า ได้กลับไปรัฐฉาน ประเทศพม่า รัฐบาลพม่าก็อาจไม่ยอมรับพวกเขา เป็นประชาชนคนหนึ่ง เนื่องจากพ่อแม่ไม่ได้กลับไปแจ้งเกิดให้กับพวกเขาที่ประเทศพม่า
อนาคตของเด็กๆ จะเติบโตมาอย่างไร คำถามนี้ยังคงอยู่ในความพร่ามัว ซึ่งหากสถานการณ์ปัญหาการเมืองในประเทศพม่ายังไม่ได้รับการแก้ไขและเลวร้ายลงเรื่อย ๆ โอกาสที่แรงงานเหล่านี้จะตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดก็จะน้อยลง ขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ก็จะยังคงทยอยเดินทางข้ามพรมแดนมายังเมืองไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนคนเฒ่าคนแก่คงเฝ้าชะเง้อรอคอยการกลับมของลูกหลานอย่างไร้ความหวัง
"ถ้ากลับบ้านแล้วได้ทำไร่ทำนาเหมือนเดิม ไม่มีการสู้รบ กันอีก เราก็อยากกลับไปใช้ชีวิตที่นั่น ถึงไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา แต่เราก็ยังอุ่นใจว่าคือบ้านของเรา ไม่ต้องย้ายไปเรื่อยๆ เหมือนทุกวันนี้ แต่ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเหมือนเดิม เราก็คงต้องดิ้นรนอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ"
หนึ่งในแรงงานชาวไทใหญ่บอกถึงอนาคตที่พวกเขาและเธอยังมองไม่เห็นปลายทางว่าจะสิ้นสุดลงที่ใด