นักข่าวมิซซิมา สัมภาษณ์นายพลโบเมียะ รองประธาน สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เค เอ็น ยู) ถึงนโยบายในอนาคตของเค เอ็น ยู และผลการหารือเพื่อตกลงหยุดยิงกับ รัฐบาลทหารพม่า
การสัมภาษณ์มีขึ้นที่ชายแดนไทย-พม่า โดยมีผู้นำอาวุโสคนอื่นๆของเค เอ็นยู ร่วมอยู่ในวงสนทนาด้วย ได้แก่ ปะโด เดวิด ทอ ผู้นำกรรมการฝ่าย กิจการต่างประเทศของเค เอ็น ยู และ ปะโด กวยทู ประธานเขตมะริด-ทวาย ซึ่งทั้งสองได้ร่วมเจรจาสันติภาพกับ รัฐบาลทหารพม่าในครั้งที่เพิ่งผ่านมานี้เช่นกัน
การสัมภาษณ์มีขึ้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 หนึ่งเดือน ภายหลังเคเอ็นยู ตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นการเเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากนายพลโบเมียะ เดินทางไปเจรจากับผู้นำทหารพม่าที่กรุงย่างกุ้งด้วยตนเอง แม้ว่าจะยังไม่มีการลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการในการเจรจา ที่ย่างกุ้ง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ประกาศหยุดยิงด้วยคำพูดและตกลงจะ เจรจาหารือกันในโอกาสต่อๆไปอีก
สำนักข่าวมิซซิมาได้แปลบทสัมภาษณ์จากข่าวภาษาพม่าเป็น ภาษาอังกฤษซึ่งรายงานไปเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สาละวินโพสต์ ได้เลือกแปลบทสัมภาษณ์บางส่วนมาให้ผู้อ่าน ได้ติดตาม ณ ที่นี้
ตอนนี้เคเอ็นยูกำลังเจรจากับผู้นำทหารพม่าเพื่อสร้าง ความเชื่อมั่นระหว่างกัน และอยู่ในขั้นที่มีข้อตกลงสุภาพบุรุษ ที่จะหยุดยิง เราจะพูดได้หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้ เป็นชัยชนะของการ ต่อสู้ที่เคเอ็นยูยืนหยัดมาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา
ชาวกะเหรี่ยงเราทำการปฏิวัติต่อสู้มานานหลายปี และเพราะเราต่อสู้มาอย่างยาวนานจนถึงวันนี้ มันจึงเป็นเวลา ที่เราต้องมีเอกภาพ ด้วยความเป็นเอกภาพเท่านั้นที่จะทำให้เรา บรรลุเป้าหมายที่มุ่งหวัง ถ้าเราไม่รวมกันอย่างมีเอกภาพเรา ก็ไม่มีทางได้สิ่งที่เรารอคอยผมมองว่า อย่างนั้นนะ เราไม่ได้สู้เพราะว่าเรา เกลียดชนชาติพม่า แต่เราต่อสู้เพื่อสิทธิ ของประชาชนชาวกะเหรี่ยง
ในยุคอาณานิคมอังกฤษอนุญาต ให้เราเรียนภาษากะเหรี่ยงในโรงเรียน ได้จนถึงชั้น 10 แต่เมื่อพม่าเป็น เอกราชแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ชาวพม่า ไม่เคารพสิทธิที่เราควรได้เรียนภาษา กะเหรี่ยงอีก พวกเขาไม่ให้ชนกลุ่มน้อย ทุกเผ่าเรียนภาษาของตัวเองอีกต่อไป นั่นเป็นวิธีที่พวกเขากดขี่เราผ่านทางการ ศึกษา พวกเขายังกดขี่เราผ่านทางการนับถือ ศาสนาอีกด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด ในยุคของกลุ่มสันนิบาตเสรีภาพ ของประชาชนต่อต้านฟาสชิสต์ (Anti-Fascist People’s Freedom League - AFPFL) สถาบันทางศาสนาหลายแห่งถูกรวม ให้อยู่ใต้การควบคุมจาก รัฐบาลกลาง นั่นเป็นเหตุหนึ่งที่สร้างความลำบากให้พวกเรา ชาวกะเหรี่ยงอย่างมาก แล้วพวกเขาก็ประกาศให้ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติเรื่องอย่างนี้อาจจะดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่นั่นเป็นคำสั่งที่ไม่ใช่จะปฏิบัติตามได้ง่ายๆ เมื่อศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติแล้ว ชาวกะเหรี่ยงและเผ่าอื่น ๆ หลายคน จำต้องหันไปนับถือพุทธศาสนา หากต้องการจะเป็นผู้นำ ในระดับประเทศ พวกเขาต้องไปโกนหัวและห่มจีวรเป็นพระไม่น้อย กว่าหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่โกนหัวก็ไม่มีทางได้เป็นผู้นำดูตัวอย่าง เช่น มานวินหม่อง (ชาวกะเหรี่ยง) เขาต้องโกนหัวก่อนถึงได้เป็น ประธานาธิบดีแล้วก็ต้องห่มจีวรอยู่เป็นอาทิตย์ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เขาก็คงไม่มีสิทธิได้เป็นประธานาธิบดีแน่นอน
นั่นเป็นสิ่งที่ชาวพม่ากดขี่เรา เพราะการเลือกปฏิบัติและ การกดขี่ที่ชาวพม่าทำกับเรานี่แหละที่ทำให้ประเทศพม่าวุ่นวายอย่างนี้ พวกเขาไม่เคารพสิทธิของชนเผ่าอื่นๆ พวกเขาคิดแต่ว่าเอกราช เป็นเรื่องของคนพม่าแล้วยึดประเทศไปเป็นของตัวเองแต่ผู้เดียว ในการปกครองประเทศ พวกเขาก็กดขี่ชนเผ่าอื่นๆและพยายาม ทำให้พวกเรากลายเป็นพม่าให้ได้ นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกๆ ชนเผ่าในพม่าถึงลุกขึ้นมาทำการปฏิวัติก็เพราะไม่มีใครจะมีความสุข ได้ถ้ายังไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิของตัว ชาวพม่าควรจะเข้าใจใน เรื่องนี้ด้วย ตอนนี้เป็นช่วงสำคัญที่ฝ่ายพม่าเริ่มจะตระหนักในข้อนี้ และหันเหวิถีทางของพวกเขาไปจากเดิม ถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยน ความขัดแย้งก็จะไม่มีวันจบสิ้น
ท่านคิดว่า จากการเจรจาครั้งล่าสุดจะทำให้ชาว กะเหรี่ยงได้สิทธิปกครองตนเองมากเท่าที่ คาดหวังไว้หรือไม่
การเจรจายังไม่ถึงที่สุดเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน เราก็จะเจรจาไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นสุด เราต้องเดินหน้า เจรจาต่อไปจนกว่าจะบรรลุสิ่งที่เราต้องการ ผมว่าฝ่ายพม่าจะต้อง เข้าใจในข้อนี้ และเมื่อเข้าใจแล้ว ผมเชื่อว่าเขาจะยอมตกลง ในสิ่งที่เราเรียกร้อง และถ้าพวกเขาไม่ยอมตามข้อเรียกร้องของเรา มันก็ไม่มีวันจะแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ได้ และเราก็จะไม่ยอมจำนน จนกว่าจะได้สิ่งที่เราเรียกร้อง
เราสนับสนุนกลุ่มต่างๆที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าด้วยเหมือนกัน เช่นกลุ่มนักศึกษา เคยมีนักศึกษาอย่างน้อย 5,000 คนที่หนีมายัง เท บา บอ (ฐานที่มั่นเก่าของเค เอ็น ยูในพม่าใกล้ชายแดนไทย) พวกเขาบอกว่าจะสู้กับรัฐบาลทหารพม่า พวกเราคิดกันว่าก็ดี เหมือนกัน ที่จะมีคนพม่าอยู่ในกองทัพปฏิวัติต่อสู้กับรัฐบาล ทหารพม่าที่เป็นศัตรูร่วมกันของเรา เราก็เลยช่วยพวกเขาทุกทาง พวกเราเลี้ยงอาหารพวกเขาทั้งหมดเป็นเวลากว่าเดือนครึ่ง เราแจกจ่ายอาวุธให้แล้วพวกเขาก็ก่อตั้งกลุ่มนักศึกษาติดอาวุธขึ้นมา
ต่อมา พวกเขาก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องจับอาวุธต่อสู้อีก ต่อไป พวกเขาบอกว่า “ถ้าเราเป็นกองกำลังติดอาวุธ เราก็จะ ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มอื่นๆ” พวกเขาก็เลยสลายตัว และพวกเขาก็ตั้งองค์กรใหม่และขอเงินทุนสนับสนุนจากภายนอก ผ่านการทำโครงการต่างๆ และก็ใช้ชีวิตแบบนั้นกันเรื่อยมา แล้วการ ปฏิวัติจะจบลงได้อย่างไร ถ้าพวกเราเอาอย่างพวกเขา พวกเรา ไม่สามารถดำเนินรอยตามวิถีทางเช่นนั้นได้ และถึงเราจะทำจริง มันก็คงเป็นเรื่องบ้าไปเลยทีเดียว
หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น ก็มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมแห่งชาติ แต่ก่อนที่รัฐบาลผสมจะเกิดขึ้น พวกเราชาวกะเหรี่ยงได้เตรียมการ เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว เราต้องการให้รัฐบาลผสมประกอบด้วยตัวแทน จากทุกชาติพันธุ์ เราได้เตรียมทำตราประทับไว้ทั้งหมดและ คัดเลือกผู้แทน แต่เมื่อพวกเขามาถึงก็ขอมีส่วนร่วมด้วยเราก็ ตกลงแล้วก็ให้ตราประทับทั้งหมดและทุกๆอย่างไปกับพวกเขา ทีแรกเราคิดว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย แต่เปล่า พวก เขาบอกว่าเราเป็นฝ่ายขบถ เขาเป็นรัฐบาล “รัฐบาลกับขบถจะ ทำงานร่วมกันไม่ได้” แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธเราแต่รัฐบาลผสมที่เรา มีส่วนสร้างขึ้นมาก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบันนี้
ตอนที่เค เอ็น ยูพบกับนายพลขิ่น ยุ้นต์ ที่ย่างกุ้ง เขากล่าวว่า ลืมเรื่องที่แล้วๆมาเถิด ผู้คนในยุคนั้นก็เหลือน้อยลง “ตอนนี้คุณอา (พะตี ในภาษากะเหรี่ยง) กับผมควรมาร่วมทำงานด้วยกัน” ท่านมีความเห็นอย่างไรกับมุมมองดังกล่าว
ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น ผมตอบไปว่า มันคงจะเป็น อย่างนั้นไม่ได้หรอก เราไม่สามารถลืมสิ่งทุ่งสิ่งทุกอย่างใน ประวัติศาสตร์ของเราได้ แต่เราต้องเรียนรู้จากมันต่างหาก แทนที่จะปัดมันทิ้งไปเราลืมมันไม่ได้หรอก เราต้องศึกษาปัญหา ของประเทศพม่า และเรียนรู้จากมันมีเพียงการเรียนรู้จากอดีต เท่านั้น ที่จะช่วยเราแก้ปัญหาของเราได้ ไม่เช่นนั้นเราไม่มีวันหา ทางออกเจอ เขาพยายามจะบอกว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเป็นอดีตและ จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไป แต่ผมบอกกับเขาว่าเราต้องเรียนรู้ จากมัน
ในกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ท่านคิดว่าสิทธิในการ ปกครองตนเองของชาวกะเหรี่ยงจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้อย่างไร
ผมจะยังคง ยืนกรานในข้อเรียกร้องของเรา (เพื่อสิทธิ ปกครองตนเอง) เราควรมีสิทธิในการปกครองตนเองและ รัฐกะเหรี่ยงก็ควรเป็นที่ยอมรับเรา ควรมีสิทธิจะทำในสิ่งที่เรา ต้องการ ซึ่งสำหรับเราแล้วเราก็ไม่ได้ต้องการจะแยกออกจาก สหภาพแต่อย่างใด เราจะยังคงอยู่เป็น ส่วนหนึ่งของสหภาพ พม่าด้วยกันแต่ถ้าเขา ไม่ยอมรับข้อเสนอ ของเรา เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแยกออกจากสหภาพไป อย่างนี้ยังไม่ดีอีกหรือ เราได้สิทธิปกครองตนเอง แต่ก็จะไม่แยกออก จากสหภาพแต่อยู่ร่วมในสหภาพของสหพันธรัฐ
แล้วคนกะเหรี่ยงที่อยู่ในรัฐอื่นๆ ล่ะครับ ท่านคิดอย่างไร
พวกเขาก็ควรจะมีสิทธิเช่นกันไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในรัฐไหน ก็ตาม เช่น ที่เมืองมิตวาจุนพอมีคนกะเหรี่ยงอาศัยอยู่มาก ผมคิดว่า ผู้นำในฝ่ายบริหารก็ควรมาจากชุมชนกะเหรี่ยงในท้องถิ่นนั้น
ขณะนี้นางอองซาน ซูจี และอูตินอู ยังถูกกักบริเวณบ้านอยู่ ท่านคิดว่าพวกเขาจะมีบทบาท อย่างไรในในสิ่งที่เคเอ็นยูกำลัง ดำเนินการอยู่ถ้าอยากให้พม่ามีสันติภาพจริงก็ไม่ควรคุมขังพวกเขา ไว้เช่นนั้น พวกเขาควรได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระและสามารถ ทำสิ่งต่างๆที่เขาต้องการ
ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2531
ตอนที่มีการเลือกตั้งนั้น ผู้สื่อข่าวกับนักหนังสือพิมพ์ เคยถามคำถามนี้ พวกเขาถามนายพลซอหม่องว่า เขาจะส่งมอบ อำนาจให้กับพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งหรือไม่ นายพล ซอหม่องตอบว่าเขาจะทำอย่างนั้นและทหารควรถอยกลับเข้ากรม แต่หลังการเลือกตั้ง เมื่อมีนักหนังสือพิมพ์และนักข่าวถามเขาอีกครั้ง เขาก็กลายเป็นคนไม่มีอำนาจไปเสียแล้ว พวกผู้นำทหารใหม่บอกว่า นายพลซอหม่องนี้สติไม่ค่อยดีก็เลยต้องเขี่ยเขาออกไปจนไม่อาจ ทำอะไรได้อีกเป็นการกระทำที่ไม่ดีเลย
ท่านคิดว่าดีเคบีเอ (กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ) จะมีบทบาท อย่างไรในครั้งนี้และรัฐบาลทหารพม่าจะจัดการอย่างไรกับดีเคบีเอ
ดีเคบีเอนั้นตั้งขึ้นมาโดยผู้นำทหารพม่า ถ้าจะให้พูดตรงๆ รัฐบาลทหารพม่าสู้เรา ไม่ได้หรอกแม้แต่เรื่อง ความเชี่ยวชาญยุทธวิธี ในการรบก็เถอะเมื่อเขา สู้เราในทางทหารไม่ได้ เขาก็ใช้ทุกวิถีทางอื่นๆที่จะหาได้ พวกเขารบกับเราโดยได้ความ ช่วยเหลือจากต่างประเทศ พวกเขาใช้อาวุธทุกรูปแบบมาถล่มเรา แต่ก็ยังเอาชนะพวกเราไมได้ เมื่อรู้ว่าเอาชนะในทางทหารไม่ได้เขาก็เลยใช้ศาสนาในชุมชนของเราเองเป็นอาวุธแทน จริงๆแล้ว ฝ่ายพระสงฆ์ไม่รู้เรื่องการเมืองหรอก และไม่รู้จริงด้วยซ้ำว่าศาสนา หมายถึงอะไร แต่เมื่อทหารพม่าไปหลอกล่อเขา เขาก็กลายเป็น เหยื่อไปอย่างง่ายดาย พวกเขาเริ่มต่อสู้กับเราด้วยวิธีต่างๆ ทั้งยังใช้ ศัตรูของเรามารบกับเราอีก นั่นทำให้เราต้องยอมถอยล่าออกมา เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ คนพวกนั้นน่ะไม่รู้จักส่งเสริมศาสนาอะไร ทั้งนั้น เป็นแต่จะทำให้ศาสนาเสื่อมลงไป ถ้ารัฐบาลพม่าใช้วิธีการ ที่สะอาด พวกเขาก็คงไม่เล่นวิธีแบบนี้
ท่านจะขอให้รัฐบาลพม่าสลาย กองกำลังดีเคบีเอหรือไม่
เรายังไม่ได้เรียกร้องเช่นนั้น เราจะทำในโอกาสต่อไป เราจะใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป
ถ้าท่านเซ็นตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหาร มันจะเป็น ไปได้ต่อไปหรือไม่ที่เคเอ็นยูจะทำงานกับสภาแห่งชาติของ สหภาพพม่าหรือเอ็นซียูบี (National Council of the Union of Burma)
อันนี้เป็นเรื่องการเมืองเรามองว่าเอ็นซียูบีเป็นพันธมิตร ของเราซึ่งเอ็นซียูบีเองก็เป็นองค์กรใหญ่ที่มีองค์กรย่อยๆประกอบ กันขึ้นจำนวนมากในคำประกาศจัดตั้งก็บอกไว้ว่าเอ็นซียูบีเป็นองค์กร พันธมิตรแบบร่ม(Umbrella Alliance) จนถึงทุกวันนี้เราก็ยัง คงมองเช่นนั้น
ในรอบ 50 ปี ที่ผ่านมาของการ ปฏิวัติ เคเอ็นยูและชนชาติกะเหรี่ยง ได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติ และ ประชาชนพม่า ในที่อื่นๆมากน้อยแค่ไหน
เคเอ็นยูเคยร้องขอความช่วยเหลือจาก ประชาคมนานาชาติ แต่นานาชาติมองว่า เขาไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เพราะเรามี สถานะเป็นกองกำลังติดอาวุธ ดังนั้น เราก็เลยเลิกขอความช่วยเหลือ เรายืน ด้วยลำแข้งของเราเองมากที่สุดที่เราทำได้
ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับประเทศ เพื่อนบ้านอย่างจีนและอินเดีย ซึ่งกำลังมี ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่า ท่านอยาก จะพูดอะไรเกี่ยวกับพวกเขาบ้าง
พวกเขามักจะพูดว่าเขาไม่แทรกแซง กิจการภายในของประเทศอื่นแต่ความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการ แทรกแซงพวกเขาค่อยๆก้าวเข้ามาในประเทศอื่น แม้ว่าจะเข้ามาด้วยการก่อสร้างถนนหนทาง ก็จัดเป็นการแทรกแซง แต่พวกเขาไม่มองว่า นั่นเป็นการแทรกแซงอย่างหนึ่ง
จะมีประเด็นเกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัย ชาวกะเหรี่ยงในการพูดคุยกับรัฐบาล ทหารพม่าในครั้งต่อๆไปหรือไม่ เรื่องผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงอยู่ในขั้นต่อไป
ทางเคเอ็นยูมีจุดยืนอย่างไรต่อ ข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่าเรื่องการจัด ประชุมสภาแห่งชาติ
มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสภาแห่งชาติจะ ช่วยเราและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้มาก แค่ไหน ถ้านั่นจะช่วยเราได้เราก็จะลองพิจารณาดู