รักต้องห้ามของหญิงรักหญิงในพม่า


ค่านิยมที่ฝังรากลึกและศรัทธาอันแรงกล้าโดยปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ในสังคมนั้น หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง มันอาจกลายเป็นอาวุธที่สามารถทำร้ายผู้คนในสังคมด้วยกันเอง  ค่านิยมและความเชื่อโดยปราศจากการตั้งคำถามเหล่านี้อาจนำไปสู่อคติและการแบ่งแยกผู้คนในสังคม ดังเช่นประสบการณ์ของฉันที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้


กลางดึกคืนหนึ่ง ภาพในอดีตที่ปรากฏขึ้นชัดเจนในห้วงของความคิดคำนึงได้ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมา ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวแทบไม่เป็นจังหวะ ฉันรู้สึกสะพรึงกลัวกับความคิดของตัวเอง ภาพต่าง ๆ ที่ปรากฏเหล่านั้นคือภาพของคนคนหนึ่ง เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมาก  ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาและกิริยามารยาท  ทุกๆ อย่างที่เธอเป็นล้วนแล้วแต่ไม่ผิดไปจากสิ่งที่สังคมรอบข้างได้คาดหวังไว้เลยแม้แต่น้อย และฉันรู้สึกชื่นชมในตัวเธอผู้นี้เป็นอย่างมาก

เรามักจะติดต่อกันด้วยการเขียนจดหมาย ซึ่งในจดหมาย เรามักจะเรียกกันว่า “ชิต ส่วย ตอ” (chit swe taw) ซึ่งเป็นภาษาพม่า มีความหมายว่า “ที่รัก” เธออายุมากกว่าและเรียนสูงกว่าฉัน เธอเป็นผู้หญิงที่มีคุณสมบัติของความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมตามแบบแผนที่สังคมได้วางไว้ และเธอเองก็ภูมิใจในสิ่งที่เธอเป็น  เราอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านรู้จักเธอ และต่างก็เรียกเธอว่า“สาวงามประจำหมู่บ้าน” เธอมีเรือนผมที่ยาวสลวย มีส่วนสูงที่พอดี ไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไป มีผิวพรรณที่ดี ไม่ว่าเธอจะเยื้อย่างหรือเคลื่อนไหวอิริยาบถไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความสง่างาม จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีหนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อยคลั่งไคล้เธออยู่  ทว่า เธอไม่ได้รู้สึกยินดีที่หนุ่ม ๆ เหล่านั้นมาคลั่งไคล้เธออย่างนี้ แต่กลับรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า

วันหนึ่ง “เธอ” ผู้ที่ใคร ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นกุลสตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องและกิริยามารยาทที่งดงาม ได้เปิดใจถึงความรู้สึกบางอย่างที่เธอมีกับฉัน และฉันก็ฟังเธออย่างตั้งใจ เธอบอกว่าการที่คนเราจะรู้สึกผูกพันหรือรักใครบางคนที่อยู่ใกล้ชิดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะความใกล้ชิดสามารถเป็นบ่อเกิดของความรักได้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นของเธอกลับเกิดขึ้นกับคนเพศเดียวกัน ...เธอรักฉัน ฉันคนที่เกิดมาเป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับเธอ ฉันรู้สึกประหลาดใจแต่ก็รู้สึกกลัวในความกล้าเปิดเผยของเธอ  ฉันก็รักเธอเหมือนกันแต่ความรักของฉันมันแตกต่าง เธออาจคิดว่าเธอรักคนที่เป็นเพศเดียวกัน แต่ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวฉันที่มันไม่ถูกต้อง

ในสังคมของเรามีความคิดว่าคนที่เป็นคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันนั้นคนหนึ่งต้องมีบทบาทเป็นฝ่ายหญิงส่วนอีกคนหนึ่งมีบทบาทเป็นฝ่ายชาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วฉันจะเป็นใคร? ฉันเป็นอะไร?  ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย? ร่างกายฉันมีอะไรผิดปกติหรือ? ฉันรู้ตัวดีว่าฉันเป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกบางอย่างและความคิดที่คล้ายผู้ชาย ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด เธอคนนั้นและแม้กระทั่งตัวฉันเองก็เข้าใจว่าฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง  และเพราะเธอ ฉันถึงได้เข้าใจในตัวเองมากขึ้น

แต่แล้วความรักของเราสองคนก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และจริงจังมากขึ้น แต่เราก็คิดว่าความรักของเราสองคนนั้นเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากศาสนา จารีตประเพณี และความเชื่อของคนในสังคม เราจึงไม่เคยเห็นใครที่เป็นคู่รักเพศเดียวกันมาก่อนเลย  เราจึงมองไม่เห็นความเป็นไปได้ของความรักของเราและความเป็นไปได้ของความรักที่ไม่ปกติระหว่างคนเพศเดียวกันในสังคมเลย  ทำไมเล่า สิ่งที่เหมือนกันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรือ?  เราต้องอดกลั้นความรู้สึกต่าง ๆ เพียงเพราะกลัวว่ามันจะเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ เรารู้สึกเป็นทุกข์เพราะเราเชื่อว่ามันเป็นบาปที่ให้สิ่งที่เหมือนกันมาอยู่ด้วยกัน ฉันต้องทรมานอยู่กับความละอายต่อบาปมาโดยตลอด ฉันต้องผ่านพ้นแต่ละวันไปกับความรู้สึกสมเพชตัวเองความทุกข์ใจที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

ในสังคมของเรานั้น ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถแต่งงานได้เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมโดยไม่คำนึงถึงว่าจะมีความสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ ไม่มีใครที่จะเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบได้โดยปราศจากสามี วันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พ่อกับแม่ของเธอจึงบังคับให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอเองไม่ได้รัก เธอต้องทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความปรารถนาเพื่อทำหน้าที่ลูกสาวที่ดี แล้วเธอจะมีความสุขกับการแต่งงานที่ปราศจากความรักที่แท้จริงได้อย่างไร?  การแต่งงานนั้นจะทำให้เกิดความสุขได้อย่างไร หากเกิดขึ้นจากการยินยอมทำตามจารีตประเพณีและความเชื่อที่ผู้เป็นลูกต้องเชื่อฟังบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเสมอ

แปลจาก  “My Best Friend in the Trust Circle” ในหนังสือ  Overcoming Shadow