โดย หม่องเล
แปล กองบรรณาธิการ
ผมชื่อหม่องเล ปัจจุบันผมลี้ภัยมาอยู่สหรัฐ อเมริกาได้ประมาณสองปีแล้ว ทุกๆ วันผมจะออกไป ทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งตอนเที่ยงวัน และจะกลับถึงบ้านอีกครั้ง ประมาณตีสองครึ่ง ช่วงสายๆ ก่อนไปทำงานคือเวลาที่ผมว่าง ซึ่งนอกจาก จะทำกับข้าวเพื่อไปกินเวลาพักงานแล้ว ก็จะเป็นเวลาที่ใครต่อใครจะโทร มาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ ช่วยเป็นล่ามให้กับเพื่อนๆ ชนเผ่า ที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ และยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้บ้าง แต่ที่บ่อยไม่แพ้กันคือการติดต่อประสานงานเรื่องส่งเงินไปให้ญาติพี่น้องที่อยู่ในพม่า ทำให้ผมนึกถึงชีวิตในย่างกุ้งสมัยที่ยังทำงานเป็นพนักงานแบงก์
ในปี 2545 ผมเรียนคณะปรัชญาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งแบบ ทางไกล สาขาที่ผมเรียนอยู่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเงินเลย แล้วอยู่ๆ ไป ทำงานแบงก์ได้อย่างไรน่ะหรือ เรื่องมีอยู่ว่า...วันหนึ่ง ขณะที่ผมเดิน อยู่แถวๆ มหาวิทยาลัย ตอนนั้นฝนตกหนักมาก ทางลูกรังกลายเป็นโคลน เฉอะแฉะ มีรถคันหนึ่งกำลังติดหล่มอยู่กลางฝน ผมจึงเข้าไปช่วย พี่ชาย คนที่รถติดหล่มบังเอิญเป็นพนักงานธนาคารเมียนมาร์โอเรียนทอล แบงก์ (Myanmar Oriental Bank) หรือ MOB จากนั้นเราก็กลายเป็นพี่น้อง ไปมาหาสู่กัน ในช่วงก่อนที่ผมจะเรียนจบ เขาแนะนำผมให้ไปสมัครงาน คงเป็นเพราะพี่ชายคนนั้นบวกกับช่วงนั้น ธนาคารกำลังขยายสาขาจึง ต้องการคนเพิ่ม ผมจึงได้งานนี้
ทุกๆ เช้า ผมจะนั่งรถรับส่งของธนาคารพร้อมๆ กับเพื่อน ร่วมงานหลายคน สาขาที่ผมทำอยู่มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 20 กว่าคน ในช่วงนั้น เงินเดือนสองหมื่นจั๊ต (666 บาท)ไม่รวมโบนัสสิ้นปีอีกสอง หมื่นก็ถือว่าไม่เลว เพราะที่นี่เงินหายาก จะหาเงินให้ได้สองหมื่นจั๊ต ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอย่างนี้พ่อของผมจึงต้องไปทำงานที่ประเทศไทย ส่วนเงินเดือนของผมส่วนใหญ่ให้ครอบครัวของป้าที่ผมอาศัยอยู่ด้วยในตอนนั้น และเหลือไว้ใช้เองนิดหน่อย
จะว่าไปแล้ว ธนาคารเป็นสถานที่ของนักธุรกิจเจ้าของกิจการ ร้านค้า หรือคนที่พอมีการศึกษาหน่อยเพราะนอกจากคนพวกนี้แล้ว ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือแต่งตัวซอมซ่อมาเปิดบัญชีเลย แต่ถึงเขาจะมีเงินก็มักจะเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน หรือซื้อทองคำเก็บไว้มากกว่า ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่เอาเงินมาเข้าแบงก์ทุกอาทิตย์ ใครแปลกหน้าเข้ามาในแบงก์จะรู้ทันที เพราะผมจำลูกค้าได้แทบทุกคน แต่ละครั้งพวกเขาจะฝากเงินกันเป็นปึกใหญ่ๆ ซึ่งมูลค่าก็ไม่ได้มากตามปริมาณซักเท่าไหร่นัก มีครั้งหนึ่งลูกค้าเอาเงินมาเป็นกระสอบ (ขนาด 50 กิโลกรัม) รปภ. ต้องช่วยกันแบกเข้าธนาคาร ซึ่งถ้าเป็นกระสอบขนาด นี้ก็จะมีเงินประมาณ 3.5 ล้านจั๊ต (ประมาณ 1.1 ล้านบาท) นั่นคือเงิน จำนวนมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ส่วนเงินจำนวนน้อยที่สุด ผมจำได้ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งเปิดบัญชีด้วยเงิน 300 จั๊ต(10 บาท) จากนั้นเขาจะมา ฝากครั้งละ 300 จั๊ตทุกๆ อาทิตย์ มารู้เอาทีหลังว่าจุดประสงค์หลัก ไม่ได้ตั้งใจเก็บหอมรอบริบ แต่ที่เขามาบ่อยๆ เพราะอยากทำงาน ที่แบงก์…อย่างนี้ก็มีด้วย
นอกจากจะฝากเงินกันคึกคักแล้ว แผนกเงินกู้ก็ลูกค้าเยอะเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่ต้องการขยายกิจการ หรือไม่ก็เป็นคนที่กู้เงินเพื่อ นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ อย่างมาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ เศรษฐกิจในประเทศพม่าไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีงานให้ทำ
ผมทำงานที่แบงก์ได้ประมาณปีกว่าๆ ก็ต้องลาออกจากงาน ในปลายปี 2546 แต่ก่อนที่ผมจะลาออก ในช่วงต้นปีสถานการณ์ของธนาคารในพม่าค่อนข้างแย่ เพราะคนแห่กันมาเบิกเงินเข้าแถวกันยาวเหยียดทุกธนาคาร หลังจากมีข่าวลือว่ารัฐบาลจะยกเลิกธนบัตรบางฉบับ บ้างก็ว่าแบงก์จะล้มละลายเพราะเจ้าของธนาคารค้ายาเสพติดและ เป็นแหล่งฟอกเงินผิดกฎหมาย ประชาชนหมดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน หลายแบงก์ไม่มีเงินจ่ายให้ลูกค้า บางแบงก์ต้องจำกัดวงเงิน การถอน เพื่อนที่ทำงานในแบงก์ชาติของพม่าบอกว่า ยาเสพติดกับการฟอกเงินเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกแบงก์ ซึ่งแบงก์ที่ว่าคือ Asian Wealth Bank กับ Mayflower ซึ่งตอนหลังถูกปิดไปแล้ว
หลังจากลาออกจากงานที่แบงก์ ผมเดินทางไปประเทศไทยทันที ส่วนสาเหตุไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องวิกฤติธนาคารหรอก แต่เป็นเพราะเรื่อง การเมืองที่ผมเข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรต่อต้านรัฐบาลเผด็จการมา หลายปี ขืนอยู่ในพม่าต่อไปมีหวังถูกจับเข้าคุกอินเส่งเป็นแน่ ที่สำคัญ ผมอยากเจอพ่อด้วย ผมสงสารพ่อ อยากให้กลับไปอยู่ที่ย่างกุ้ง ผมจะ ทำงานหาเงินแทนพ่อเอง
เมื่อมาถึงเมืองเมืองไทย งานแรกที่ทำคือลูกเรือประมง ตอนนั้น เพื่อนของผมที่เป็นลูกเรือบอกว่า ถ้าอยากทำงานอย่างอื่นต้องรอหนึ่ง เดือน ถ้าไม่อยากรอนานขนาดนั้นก็มีแค่งานลูกเรือ เพื่อนยังเตือนผมว่า “ทำงานลูกเรือนี่หนักมากนะ จะไหวเหรอ ทำไมไม่รอก่อน” แต่ ตอนนั้นผมมีเงินติดตัวมาไม่มากอยากทำงานได้เงินเร็วๆ จะได้เป็นค่า เดินทางไปเจอพ่อที่กรุงเทพ ก็เลยบอกเพื่อนไปว่า “ไม่เป็นไร มือก็มี เท้าก็มีเหมือนคนอื่น ถ้าคนอื่นทำได้ ผมก็ทำได้เหมือนกัน”
แต่พอถึงเวลาทำงานเข้าจริงๆ มันก็หนักเหมือนที่เพื่อนบอกไว้ไม่มีผิด ทุกๆ วันผมเริ่มงานหกโมงเช้า เรือลำนี้จับปลาวันละ 4 รอบ คือรอบ 6 โมงเช้า รอบเที่ยงวัน รอบ 6 โมงเย็น และรอบสุดท้ายเที่ยงคืน แต่ละรอบเมื่อทำงานเสร็จก็จะเป็นเวลากินข้าวและนอนประมาณ 1-2 ชั่วโมง วันไหนจับปลาได้เยอะก็มีเวลานอนน้อยหน่อย บางครั้งผมก็คิด อยู่เหมือนกันว่า ทำไมชีวิตมันเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมายขนาดนี้ เดือนที่แล้วผมยังนั่งอยู่ในห้องแอร์ วันๆ จับแต่เงินอยู่เลย แต่ตอนนี้ ต้องมาตากแดดตากลมร้อนจนแทบจะเป็นลม แต่ถึงอย่างไร เงินเดือน ลูกเรือ 3,000 บาทก็ยังมากกว่าเงินเดือนพนักงานแบงก์อยู่หลายเท่า
หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของผมก็กลับบ้าน ส่วนผมยังอยู่ใน ประเทศไทย ทำงานองค์กรทางการเมืองแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังทำงาน ก่อสร้าง ช่างอะลูมิเนียม และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง เพราะถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีกิน แต่มันเสียอยู่ที่ผมไม่มีบัตรแรงงาน เป็นแรงงานเถื่อน อยู่ใน ประเทศไทยซักวันก็เสี่ยงถูกจับ ซึ่งผมเคยถูกจับมาแล้วครั้งหนึ่ง แถมยังถูกไถเงินจากเจ้าหน้าที่อีก ส่วนในพม่ายิ่งแล้วใหญ่ กลับไปก็ต้องถูกจับ แน่นอน สถานการณ์อย่างนี้จะทำอะไรไม่ได้เลย ผมตัดสินใจลี้ภัยไป ประเทศที่สาม ที่ที่ผมจะมีตัวตนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างน้อยก็ได้ ใช้ชีวิตได้อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะเป็น ไม่ต้องหนีใคร ที่สำคัญ อีกไม่นานผมจะสามารถทำงานเพื่อสังคมที่ตั้งใจไว้อย่างเต็มตัว
ตอนนี้ก็เข้าปีที่สองแล้วที่มาอยู่สหรัฐอเมริกามันไม่ได้สบาย เหมือนที่ใครๆ คิด ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวที่อยู่ในพม่าเพราะผมมาตัวคนเดียว ไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายคนที่มาเป็นครอบครัว ตอนนี้ผม ทำงานในโรงงานเนื้อแห่งหนึ่ง และได้มีโอกาสทำงานเพื่อช่วยเหลือคนพม่าที่มาอยู่ที่นี่ด้วย
ชีวิตของผมมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานตั้งแต่ลาออกจากแบงก์ก่อนเข้ามาประเทศไทย นอกจาก งานในโรงงานแล้ว ผมยังทำหน้าที่เหมือนเจ้าหน้าที่แบงก์ตอนอยู่พม่า ไม่มีผิด แต่อาจจะแตกต่างกันนิดหน่อย นั่นคือการส่งเงินจากอเมริกา ไปยังพม่า ซึ่งไม่สามารถทำผ่านธนาคารได้ ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะส่งจาก ประเทศไทย หรือ ประเทศไหนๆ ก็โอนเงินไปพม่าไม่ได้ เพราะไม่มีระบบ โอนเงินต่างประเทศ(ที่น่าเชื่อถือ) ต้องลำบากโอนผ่านนายหน้าใน ประเทศต้นทาง อย่างไทย หรือ สหรัฐอเมริกา ที่มีเครือข่ายอยู่ในพม่า วิธีการก็คือ ผู้ที่ต้องการโอนเงินจะส่งเงินดอลลาร์ให้นายหน้าในสหรัฐ อเมริกา จากนั้นนายหน้าจะติดต่่อเครือข่ายในพม่าเพื่อนำเงินจั๊ตไปส่งผู้รับตามที่แจ้งนายหน้าไว้ โดยคิดค่าบริการ 3 เปอร์เซ็นต์ ปกติแล้วเงิน จะไปถึงผู้รับภายใน 1 อาทิตย์ หรือไม่เกิน 2 อาทิตย์ สิ่งที่ผมต้องทำคือ ดูแลผลประโยชน์ของทั้งผู้รับเงินและนายหน้าให้สมหวังกันทุกฝ่าย
จริงๆ แล้วการทำแบบนี้ผิดกฎหมาย เสี่ยงทั้งนายหน้าทั้งลูกค้า สำหรับนายหน้าก็เสี่ยงต่อการถูกจับ ลูกค้าก็เสี่ยงต่อการถูกเบี้ยว ถึงจะ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ก็เคยมีคนถูกนายหน้าหลอกกันมาแล้ว
ผมเคยอธิบายเรื่องนี้กับเพื่อนที่เป็นคนไทยที่เขาไม่เข้าใจ เพราะ ธนาคารที่ประเทศไทยไม่มีปัญหาเหมือนพม่า เขาพูดกับผมว่า “ประเทศ ไทยกับพม่าถึงจะอยู่ติดกัน แต่ทำไมมันต่างกันมากอย่างนี้ก็ไม่รู้” ผมก็เลยบอกว่า ไม่ใช่เฉพาะเรื่องธนาคารนะ เรื่องชีวิตของคนก็ยิ่งแตกต่าง อย่างผมเรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นถึงพนักงานแบงก์ ถ้าเป็นในประเทศ ไทยนะหรือ ตอนนี้ผมก็คงอยู่ในอเมริกาในฐานะพนักงานแบงก์ที่ ลาพักร้อนมาเที่ยว ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งเพื่อนร่วมชาติ คนอื่นๆ อีกมากมายที่เจอเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าผมเสียอีก
จะว่าไปแล้วถ้ามองในแง่ดี ประสบการณ์ที่หนักหนาสาหัส ทำให้เราแกร่งและมีความอดทนสูง เรียกว่าเป็นคุณสมบัติประจำ ชาติอย่างหนึ่งของประชาชนพม่าไปแล้วก็ว่าได้