ตามรอยศรัทธาแห่ง “นัต”บนภูเขาโปปา

โดย ฮานอย




บ่าย 3 โมง ณ สถานีขนส่งเมืองบะกัน (พุกาม) ขณะที่ผู้โดยสารทั้งชาวต่างชาติและคนพม่ากำลังทยอยก้าวลงจากรถบัส หน้าประตูก็มีเสียงตะโกนเซ็งแซ่ของบรรดาคนขับรถและไกด์ นำเที่ยวโชว์ป้ายโปรแกรมนั่งรถม้าชมโบราณสถาน ซึ่งถือเป็นบรรยากาศที่พบเห็นได้ทั่วไปตาม เมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอย่างเมืองพุกามแห่งนี้ แม้ว่าที่นี่จะมีทะเลเจดีย์หลายพันองค์ให้โพสต์ท่าถ่ายรูปกันจนเหนื่อย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า  ห่างออกไปไม่ถึง 50 กิโลเมตร ยังมี “ภูเขาโปปา” ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนชาวพม่านับถือ เพราะเชื่อว่าเป็นแหล่งรวม “นัต” ทั้งหมด 37 ตน เรียกว่ามาที่ภูเขาแห่งนี้แห่งเดียว  อยากอธิษฐานขอพรนัตตนไหนสามารถเลือกได้ไม่จำกัด ดังนั้น หากผู้เขียนเดินทางมาถึงพุกาม แล้วไม่ได้ไปภูเขาโปปาก็คงจะต้องนั่งเสียดายในภายหลังแน่ ๆ    


ภูเขาโปปา ถูกกล่าวถึงในบันทึกประวัติศาสตร์พม่าตั้งแต่ในยุคของ การเลือกตำแหน่งสร้างอาณาจักรพุกามว่า อดีตภูเขาไฟแห่งนี้เป็นเสมือน เขาพระสุเมรุศูนย์กลางแห่งจักรวาล และเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเหล่า “นัต” หรือที่คนพม่าเรียกว่า “มินนัต” คือ วิญญาณ ภูตผี จากผู้ที่เสียชีวิตด้วยการ ถูกฆ่าหรือถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ ดวงวิญญาณจึงไม่ไปสู่สุคติ มีทั้ง คนธรรมดาและผู้ที่มียศศักดิ์ไปจนถึงกษัตริย์ บ่อยครั้งปรากฏกายแสดง อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ กลายเป็นที่เกรงกลัวของชาวบ้านจึงมีการตั้งศาล และนำรูปปั้นเหมือนจริงตั้งไว้ให้คนกราบไหว้บูชา โดยถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยปกป้องดูแลบ้านเมือง และยังสามารถขอในสิ่งที่ต้องการได้ด้วย ซึ่งรูปปั้นนัตแต่ละตนจะสวมเสื้อผ้าสวยงาม บางตนนั่งอยู่บนสัตว์ต่างๆ เช่น เสือ หงส์ และม้า บางตนก็ถืออาวุธ แตกต่างกันไปตามเรื่องราวที่ได้รับ การกล่าวขาน ตัวอย่างนัตซึ่งหลายคนนิยมกราบไหว้ คือ นัตโบโบยี หรือ เทพทันใจ เหมาะสำหรับคนใจร้อนอยากได้โชคลาภแบบทันใจ เป็นต้น

หลังจากเข้าที่พักและจัดการกับสัมภาระในเป้ใบเขื่องแล้ว ผู้เขียน จึงเริ่มเตรียมวางแผนการเดินทางไปภูเขาโปปา ซึ่งต้องเหมารถรับจ้าง ในราคา 25 เหรียญสหรัฐ สำหรับระยะเวลาเพียงครึ่งวัน โชคดีที่มีสาวเกาหลี มาร่วมแชร์ค่าโดยสารอีกหนึ่งคน ทำให้ประหยัดไปได้อีกหลายตังค์  บ่ายวันรุ่งขึ้น คนขับรถเป็นชายวัยใกล้เกษียณใบหน้ายิ้มแย้มท่าทาง คล่องแคล่ว สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวนุ่งโสร่งมารออยู่ที่หน้าโรงแรมตรงตาม เวลานัดเป๊ะ เราทำความรู้จักซักถามชื่อเสียงเรียงนามคนขับรถ แต่เมื่อ ได้ยินก็อึ้งไปสักระยะจนต้องถามย้ำให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด “คุณลุงชื่อ  ตานฉ่วยจริงๆ เหรอ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มว่า “ครับ ชื่อเดียวกับผู้นำ ประเทศพลเอกอาวุโสตานฉ่วย” จากนั้นเมื่อเรียกชื่อคนขับรถก็จะมี ภาพใบหน้าของนายพลตานฉ่วยลอยมาทุกครั้งไป

รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากถนนสี่เลนจนเหลือสองเลน มุ่งหน้า สู่ตำบลจ๊อกปะด่อง ที่ตั้งของภูเขาโปปาด้วยระยะทาง 47 กิโลเมตร คนท้องถิ่นเรียกภูเขาโปปาว่า สะกาต่าว แปลว่า ภูเขาดอกจำปา มีที่มา จากบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นดอกจำปา และยังเป็นต้นไม้ตามตำนาน ของมหาคีรีนัตอีกด้วย สภาพถนนแผลงฤทธิ์ให้เรานั่งหัวสั่นหัวคลอน ไปตามๆ กัน บางครั้งมีรถวิ่งสวนมาแต่ปิดหน้าต่างไม่ทันก็ต้องกินฝุ่น ไปหลายอึกแถมมองทางแทบไม่เห็น เสมือนการเดินทางท่ามกลางม่านหมอกเสียจริงๆ

ระหว่างที่ทอดสายตาผ่านทิวต้นตาล หวังเผื่อว่าอาจมองเห็น ยอดเขาโปปา รถก็หยุดจอดที่ด่านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมทางพร้อมกันนั้น  ลุงตานฉ่วยควักเงินให้คนเฝ้าด่าน จำนวน 400 จั๊ต (13 บาท) เมื่อผ่านด่าน จุดที่สอง สาม ก็เปลี่ยนจากการหยุดจอดเพื่อจ่ายเงิน กลายเป็นชะลอ ความเร็วแล้วโยนเงินแทน เราจึงอดไม่ได้ที่จะถามจึงได้คำตอบว่า เงินที่ โยนออกไปเป็นเงินค่าใช้ถนนจ่ายทั้งขาไปและขากลับ ทำเหมือนกัน ทุกคันไม่มียกเว้น รถบางคันก็จ่ายมากกว่า 500 จั๊ต แล้วแต่จะถูกเรียกเก็บ ซึ่งเดาไม่ยากว่าปลายทางรายได้ทั้งหมดจะตกไปอยู่ที่ใคร คุณลุงตานฉ่วย ตอบสั้นๆ ว่า “รัฐบาล” งานนี้ตานฉ่วย ณ พุกาม ต้องจ่ายเงินให้ตานฉ่วย ณ เนปีดอว์ น่าเห็นใจประชาชนชาวพม่า แม้จะใช้ถนนยังต้องเสียเงินจ่าย ให้กับรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นบริการขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรจะได้รับโดยไม่มีเงื่อนไข แถมสภาพถนนก็ไม่ได้ดีเลิศเลอให้ต้องเสีย ค่าผ่านทาง เปรียบเทียบกับถนนชนบทในประเทศไทยยังดีกว่าเป็นไหนๆ

เมื่อมาถึงหมู่บ้านใกล้กับภูเขาโปปา รถแวะจอดตรงโค้งถนน ที่สามารถมองเห็นภูเขาทั้งลูกได้ชัดเจน แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะเห็น รูปภาพจากหนังสือนำเที่ยวและตามเว็บไซต์ต่างๆ แต่จากจุดเดียวกัน ในขณะนี้ ของจริงที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าช่างยิ่งใหญ่แฝงด้วยพลังและความเข้มขลังอย่างประหลาด สมกับเป็นนิวาสถานแห่งนัตจริงๆ ยอดฉัตรตั้งอยู่ บนเจดีย์ที่มีภูเขาหัวตัดสูงชะลูดเป็นฐานราก แนวหลังคาเรียงต่อกัน เป็นลำดับ จากด้านล่างไปจนถึงบนสุดใต้หลังคานั้นคือทางเดิน ระยะทาง 1,500 เมตร ไปสู่ยอดเขา

แม้เวลาล่วงเลยไปกว่าสี่โมงเย็น แต่บรรยากาศหน้าบันไดทางขึ้นเขา ยังมีคนเดินจับจ่ายซื้อของตามร้านขายของที่ระลึก และคนที่เพิ่งลงมา จากด้านบน รถแท็กซี่และรถบัสคันใหญ่จอดรอผู้โดยสารอยู่หลายคัน  นอกจากผู้คนแล้วก็มีฝูงลิง ทั้งวิ่งและเดินวนเวียนตามหลังคา ต้นไม้  และบ้างก็นอนแผ่ตามขั้นบันได ได้บรรยากาศคล้ายเมืองลพบุรีบ้านเรายังไงยังนั้น เพียงก้าวขาลงจากรถ บรรดาพ่อค้าแม่ขายมารุมเสนอขายสินค้าที่อยู่ในถาดไม่ว่าจะเป็น พวงดอกจำปา ธูปเทียน ตุ๊กตาล้มลุกสีแดง หน้าตาก็ตามแบบฉบับพม่าแท้ๆ เพลิดเพลินกับบรรยากาศไม่นาน เรา ก็รีบถอดรองเท้าเดินขึ้นไปบนยอดเขาก่อนที่พระอาทิตย์จะซาแสงจน หายไป เพราะไม่อยากเดินอยู่บนเขาโปปาด้วยความมืดสลัว ไม่ใช่เพราะ กลัวว่าจะมองอะไรไม่เห็น แต่เกรงในสิ่งที่มองไม่เห็นมากกว่า

หนึ่งในความประทับใจในของการมาโปปาก็คือ การได้เดินขึ้นยอดเขา ที่ค่อยๆ ไต่ระดับความชันขึ้นเรื่อยๆ จากบันไดปูนกว้างกว่า 10 เมตร กลายเป็น บันไดเหล็กแคบลงเกือบครึ่งหนึ่ง ทำมุมเกือบ 90 องศา ราวเหล็กคือสิ่ง รับประกันความปลอดภัยเดียวที่มีอยู่ เมื่อจับให้แน่นแล้วหากก้าวพลาด ก็คงจะไม่เจ็บตัวอย่างแน่นอน เพื่อนร่วมทางที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างอยู่บนรถ กลับนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไม่ได้ขัดโกรธเคืองกันแต่เพราะ เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไร ผู้เขียนได้แต่มองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าขณะนี้เรา คือกลุ่มเดียวที่เดินขึ้นมา

เมื่อพ้นบันไดขั้นสุดท้ายก็พบกับห้องโถง มีรูปปั้นหล่อทองตั้งอยู่ ทางขวามือหลังซุ้มประตูไม้แกะสลัก ใบหน้าอิ่มเอมแฝงด้วยรอยยิ้ม สวมชฎา และเครื่องประดับคล้ายเทวดามากกว่าจะเป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือ มหาคีรีนัต  ที่เคยเป็นนัตสูงสุดในบรรดานัตทั้งหมด เนื่องจากแต่ในราวพุทธศตวรรษ ที่ 16 ยุคที่อาณาจักรพุกามมีความรุ่งเรืองด้านศาสนาเป็นอย่างมาก  พระเจ้าอโนรธาได้ให้ประชาชนเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธนิกาย เถรวาท แทนที่ความเชื่อในภูตผีและอำนาจธรรมชาติแบบพื้นเมือง จึงทรงลดอำนาจของนัตลง โดยให้นำรูปปั้นนัตทั้งหมดไปตั้งล้อมรอบเจดีย์  ราวกับผู้ดูแลลานพระเจดีย์ แล้วนำพระอินทร์จากศาสนาฮินดูแต่งตั้ง ให้เป็นนัตสูงสุดแทนในชื่อ สักกะยามินทร์ เพื่อสนองต่อความเชื่อของ ประชาชน นับตั้งแต่นั้นมา นัต จึงหมายรวมถึงผู้ทรงฤทธิ์ เทพยาดา

เสียงหัวเราะดังมาจากหลังประตูห้องโถง ที่ทะลุไปสู่เจดีย์ ด้านนอก ลูกหมาสีขาวตัวหนึ่งถูกวาดคิ้วสีดำหนา นั่งหมอบอยู่บนที่นั่ง ตรงข้ามกับเจดีย์องค์ใหญ่ ผู้ชายสามคนซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล สถานที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับอุ้มและชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของหมาตัวนั้น แล้วบอกว่า “แพนด้า” แถมยังบอกอีกว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ผู้เขียนได้แต่ส่ายหัวเพราะสงสารหมาแต่ก็อดหัวเราะตามไม่ได้ ทำให้คิดถึงคุณเสนาหอยในรายการสาระแนโชว์ ที่ชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง แล้ววาดคิ้วสูงๆ เรียกเสียงกรี๊ดและความเฮฮาได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว  เสียงหัวเราะบนยอดเขาโปปาที่แทบจะร้างผู้คน ช่วยละลายความ เงียบขรึมของสถานที่ไปได้มาก

เราเดินมายังหน้าประตูของห้องใต้เจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งมีนัตสักกะยามินทร์ตั้งอยู่ สังเกตได้จากลักษณะเด่นของพระอินทร์ นั่นคือ การประทับอยู่บนช้างสามเศียร หรือ ช้างเอราวัณเป็นพาหนะประจำกาย  ธรรมเนียมอย่างหนึ่งของการมากราบไหว้นัต คือ การบริจาคเงิน สังเกต เงินตู้บริจาคจะมีเพียงน้อยนิดไม่เท่ากับ ธนบัตรจั๊ตที่พับสอดหรือวางไว้ ที่องค์นัตจนล้นทะลักบ้างร่วงลงพื้นก็มี ไม่ห่างกันมีถาดกล้วยและมะพร้าว ตั้งอยู่บนโต๊ะวางของที่นำมาบูชา ซึ่งจะเห็นกล้วยสีน้ำตาลอมแดงแปลกตา สืบทราบว่าคือ กล้วยนาค คนไทยเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคลมักใช้บูชาเทพ เทวดา ลักษณะผลใหญ่อวบอ้วน  1 หวีมีเพียง 5-7 ลูก เนื้อด้านในเป็น สีแดงอมเหลือง ส่วนดอกไม้ที่คนนำมาบูชาวางทับซ้อนกันเป็นกองดอกไม้ ขนาดย่อม บ่งบอกถึงศรัทธาของผู้คนที่มากราบไหว้ได้แจ่มแจ้ง

นอกจากบนยอดเขานี้จะมีนัตสูงสุดแล้ว ยังพบว่ามีห้องของ นัต ที่เป็นนักบวชและพระสงฆ์ซึ่งได้มรณะภาพไปแล้วอยู่ด้วย การแต่งกาย พร้อมข้าวของเครื่องใช้เหมือนในสมัยที่มีชีวิตอยู่ โดยจะมีภาพถ่าย วางเทียบอยู่ใกล้ๆ กัน และเป็นนัตที่ผู้เขียนเคยเห็นครั้งที่ได้ไปชม สุเลเจดีย์และเจดีย์โบตะเทาว์ในย่างกุ้ง ซึ่งมีการจัดพื้นที่แยกออกมา ต่างหาก จุดสุดท้ายก่อนที่เดินลงเขา เรายืนอยู่ด้านหน้าเจดีย์อีกหนึ่งองค์ ฐานของเจดีย์รายล้อมไปด้วย เจดีย์องค์เล็กๆ กว่า10 องค์ มียอดฉัตร ครอบไว้อย่างสวยงาม พร้อมกับชื่อของผู้ร่วมบริจาคบอกไว้ด้วย ณ จุดนี้ เป็นลานโล่งที่สามารถชมทิวทัศน์ฝั่งทิศตะวันออกและทิศเหนือได้  นอกจากจะมองเห็นเงาของภูเขาโปปาปกคลุมหมู่บ้านเบื้องล่างแล้ว ยังมองเห็นผืนป่ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาคล้ายพรมธรรมชาติจนแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะเป็นเขตที่มีลักษณะกึ่งทะเลทรายและยังเป็นเขตวนอุทยาน มีความหลากหลายของพันธุ์พืช สมุนไพรต่างๆ และสัตว์ป่าหายาก แห่งหนึ่งในโลก แต่กลับมีการตั้งโรงงานสกัดหินปูนอยู่หลังภูเขาใกล้ๆ  กัน เพื่อป้อนให้กับโรงผลิตปูนซีเมนต์ตามคำบอกเล่าของคนขับรถ

เสียงแตรรถบัสและเสียงคนตะโกนแว่วมาถึงบนยอดเขา  ขณะที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ  จนรู้สึกเย็น ผู้ดูแลสถานที่หลายคนเริ่มเดินปิดประตูตามห้องต่างๆ  บ่งบอกว่าสมควรแก่เวลาแล้ว การเดินขึ้นภูเขาที่ว่ายากการเดินลง ยิ่งยากกว่า เมื่อมาถึงรถที่จอดรออยู่แล้ว ลุงตานฉ่วยทักทายว่า เป็นอย่างไร ผู้เขียนได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ โดยก่อนที่รถจะเคลื่อน พ้นหมู่บ้าน เราหยุดมองภูเขาโปปาในบรรยากาศพลบค่ำอีกครั้ง ยิ่ง ทำให้รู้สึกว่าแม้การเดินทางมาอาจจะทำให้ลำบากไปบ้าง แต่ผู้คน ไม่เคยละความพยายามที่จะมาที่นี่ศรัทธาและความเชื่อไม่เคย มอดดับลงพร้อมภูเขาไฟโปปา แต่กลับคงความขลังมานาน หลายชั่วอายุคน