การศึกษาในพม่า ฤาจะแย่กว่าคุกไทย?

โดย ซอว์ง อู
ภาพ TSYO


ในความรู้สึกของคนทั่วไป “โรงเรียน” กับ “คุก” เป็นสถานที่ที่แตกต่างกันอย่าง สิ้นเชิง โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน แต่สำหรับ คุกนั้นตรงกันข้าม เพราะมีแต่คนภาวนาว่าในชีวิตนี้ขออย่าให้ได้เข้าไปเหยียบเลย อยู่ห่างๆ ไว้ดีที่สุด แต่จะมีใครเชื่อบ้างว่า ในหลายพื้นที่ของประเทศพม่า “การศึกษาของประชาชน ยังย่ำแย่กว่าในคุกประเทศไทยเสียอีก”



ภายในอาคารไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่ง เก้าอี้หลายตัวถูกกองสุมกัน อยู่บนพื้นที่เป็นดินทราย หน้าต่างหลายบานหายไป เหลือเพียงช่อง สี่เหลี่ยมให้ลมพัดผ่านโดยไร้สิ่งกีดขวาง  หากไม่มีแผ่นไม้กระดานสีเขียว เข้มขนาดใหญ่ที่ยังคงมีคราบชอล์กเหลืออยู่ ก็คงไม่มีใครเชื่อว่า ซาก อาคารแห่งนี้คือ “โรงเรียน” สถานที่บ่มเพาะอนาคตของชาติที่ตั้งอยู่ในชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ปะหล่อง ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า ภาพ ดังกล่าวปรากฏในรายงานเรื่อง Lightless life (ชีวิตที่มืดมน) ที่เปิดเผย ให้เห็นความย่ำแย่ของระบบการศึกษาภายใต้การปกครองของรัฐบาล ทหารพม่า    

อันที่จริงแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับความ ล้มเหลวของระบบการศึกษาในพม่าออกมาหลายต่อหลายฉบับ ส่วน ใหญ่จะระบุข้อมูลที่ตรงกันว่า รัฐบาลเจียดงบประมาณให้กับการศึกษากับเรื่องสาธารณสุขรวมแล้วคิดเป็นมูลค่า ไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ Gross Domestic Product) ด้วยซ้ำ ซึ่งแต่ละปีตัวเลขก็จะวนเวียนอยู่ที่ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ถือว่า น้อยมากสำหรับเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ อย่างนี้

จะอ้างว่าพม่าเป็นประเทศยากจนจึงมีงบประมาณน้อย อาจจะ ไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก ประชาชนอาจจะยากจนจริง แต่ไม่ใช่ รัฐบาลพม่า เพราะรัฐบาลมีรายได้มหาศาลจากการขายก๊าซธรรมชาติ หลายแห่งให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ไหนจะทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อีก ฉะนั้นเรื่องงบฯ น้อยตัดออกไปได้เลย เพราะความจริง คือ รัฐบาลนำรายได้ไปทุ่มให้กับเรื่องกองทัพเสียเป็นส่วนใหญ่

ห้องเรียนร้่าง
ขณะนี้มีข่าวออกมาจากหลายสำนักที่ชี้ว่า รัฐบาลกำลังมุ่งความสนใจไปกับการพัฒนาอาวุธ นิวเคลียร์ โดยไม่สนใจว่าการศึกษาในประเทศย่ำแย่ ขนาดไหน ในรายงานเรื่อง Lightless life ได้เผยให้เห็นว่า เด็กนักเรียนจำนวนมากต้องออกจากโรงเรียนมาทำ งานรับจ้างช่วยครอบครัวทำมาหากิน ครูหลายคนรับ เงินเพื่อแลกกับการให้เด็กสอบผ่าน และต้องออกมา สอนพิเศษเพื่อหารายได้เพิ่มเติมเพราะเงินเดือนไม่พอ  แถมหลักสูตรที่เน้นท่องจำก็ไม่เคยเปลี่ยน เรื่องการ ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนก็ไม่เคยได้รับการ แก้ไข ส่วนในพื้นที่ชนบทห่างไกลที่ไม่มีโรงเรียน ชาวบ้าน ต้องสร้างโรงเรียนขึ้นมาเองและหาครูเองอีกด้วย ซึ่ง ส่วนใหญ่ไมได้เรียนจบมัธยมปลายด้วยซ้ำ แต่จะเป็น คนท้องถิ่นที่พอจะทำหน้าที่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้

“หมู่บ้านของเราไม่มีโรงเรียน ผู้ใหญ่บ้านต้องเรี่ยไรเงินจากชาวบ้าน ครอบครัวละ 2,500 จั๊ต(83 บาท) มาสร้างโรงเรียนเอง”

“โรงเรียนของเราสร้างขึ้นโดยชุมชนของเราเองเพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน ใน ช่วงที่ใบชา(พืชเศรษฐกิจของชุมชนปะหล่อง)ราคาตก ชาวบ้านไม่มีเงินบริจาค โรงเรียนก็เลยต้องปิดไป เด็กนักเรียนต้องไปเรียนในหมู่บ้านอื่นที่ไกลออกไป แต่ส่วนมากก็เลิกเรียน”

นี่คือบทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งในรายงาน Lightless life

รายงานยังระบุว่า ในชุมชนชาวปะหล่องแห่งหนึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นมีนักเรียนที่ เข้าเรียนชั้นอนุบาลร้อยกว่าคน เมื่อเด็กเหล่านี้ขึ้นชั้น 10 (ซึ่งเทียบเท่ากับม.6) มีนักเรียนลดลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง และในจำนวนนั้นสามารถเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแค่ 3 คน  ซึ่งนักเรียนที่ออกจากโรงเรียนไป นอกจากจะออกไปทำงานแล้ว ส่วนหนึ่งถูกเกณฑ์ ไปเป็นทหารในกองทัพพม่า และอีกไม่น้อยที่ติดยาเสพติด

ดูเหมือนว่าไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ห่างไกลอย่างชุมชนปะหล่องเท่านั้น แม้แต่พื้นที่ในภาคมัณฑะเลย์ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 5 กิโลเมตรก็มีสภาพไม่ต่างกัน

ตำราเรียน ชั้น 6
ชาวพม่าคนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษในโรงเรียนสำหรับแรงงานใน จังหวัดเชียงใหม่เล่าถึงหมู่บ้านที่เขาเคยอาศัยอยู่ว่า “แถวนั้นมีหมู่บ้าน 4 – 5 แห่ง แต่มี โรงเรียนประถมที่เดียว เป็นโรงเรียนที่ชาวบ้านช่วยกันออกเงินสร้างกันเอง มีครู 2 คน มีนักเรียนประมาณ 100 คน ทุกชั้นเรียนรวมกันอยู่ในห้องๆ เดียว ถ้าวันไหนฝน ตกก็ต้องเลิกเรียนเพราะหลังคารั่ว ส่วนเรื่องห้องสมุดลืมไปได้เลย”

 นอกจากเรื่อง การศึกษาแล้ว รัฐบาลยังละเลยเรื่องอื่นๆ เช่น สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างไฟฟ้า อีกด้วย “ที่หมู่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ รวมทั้งโรงเรียน แต่สำนักงานของรัฐใกล้ๆ โรงเรียนมีไฟฟ้าใช้เฉยเลย” ชายคนเดิมกล่าว

ย้อนกลับมาในเรือนจำประเทศไทยกันบ้าง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สาละวินโพสต์ ได้รับจดหมายจากผู้อ่านซึ่งเป็นนักโทษหลายฉบับ บ้างก็เขียนมาแสดงความคิดเห็น ให้กำลังใจ และแบ่งปันเรื่องราวชีวิตที่ผิดพลาด นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเล่าถึงโรงเรียน และห้องสมุดในคุก ฟังแล้วก็รู้สึกว่า มันช่างแตกต่างกับเรื่องที่เกิดขึ้นในพม่าเหลือเกิน

จากข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พบว่าในประเทศไทยมีเรือนจำ ทั้งหมด 188 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีห้องสมุดเพื่อให้นักโทษได้ศึกษาค้นคว้า และที่สำคัญยังมีการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยมีทั้ง วิชาพื้นฐาน อย่าง ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศรวมถึงวิชาประสบการณ์ อาชีพให้นักโทษได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในระหว่างที่ยังถูกจองจำ

เห็นว่าเป็นเรือนจำแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าไม่ได้มาตรฐาน เพราะผู้ที่ได้รับเชิญมาทำ หน้าที่สอน ก็เป็นอาจารย์หรือนักวิชาการในสถาบันต่างๆ ซึ่งแต่ละปียังมีการมอบรางวัลให้เรือนจำที่มีผลงานดีเด่นในเรื่องการจัดการศึกษาอีกด้วย

หากเทียบกับพม่าแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนหนังคนละม้วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ได้ต้องการสื่อว่านักโทษในประเทศไทยนั้นโชคดีแต่อย่างใด เพราะการถูกจองจำอิสรภาพ เนื่องจากความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแน่นอน เพียงแค่อยากเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ว่า ความไม่ใส่่ใจของรัฐบาลพม่า ทำให้การศึกษาของประชาชนในประเทศเลวร้ายถึงขนาดที่ย่ำแย่กว่าสถานที่ จองจำอิสรภาพของนักโทษในประเทศเพื่อนบ้านเสียอีก