เรื่อง อะแก่ย่วยเมี้ย
โดย ขิ่นเญงติ๊ดจาก www.naytthit.com
แปล Numripa
พ่ อของเธอเรียกเธอว่ า “ปูซู”ตอนนี้เธออายุได้สิบเอ็ดปีแล้ว แต่ดูเป็นเด็กไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ จึงไม่แปลกถ้าเธอจะสะกดชื่อตัวเองไม่เป็น และตั้งแต่พ่อตายไป ปูซูก็ต้องเก็บผักหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวเรื่อยมา
อันที่ จริง เด็กที่ อยู่ ในวัยเดียวกับปูซูกำลังอยู่ ในช่ วงรักสวยรักงาม ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว และอยากจะใส่กระโปรงสวยๆ แต่สิ่งที่ปูซูสวมใส่กลับเป็นเสื้อคอกระเช้า กางเกงรัดติ้วดูไม่พอดีตัวเท่าไหร่ แถมสียังหมองจนดูไม่ ออกว่ าเป็นสีอะไรกันแน่ นอกจากนี้ ผิวพรรณที่หมองคล้ำเพราะถูกแสงแดดแผดเผา และเส้นผมจากดำกลายเป็นสีแดงไปทั้งหัว ก็บ่ งบอกได้ว่ าเธอผ่ านความทุกข์ยากมามากน้อยแค่ไหน
ครอบครัวของปูซูมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดหกคน รวมทั้งตัวเธอ ยายและน้องคนเล็กสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ มีเพียงแม่และปูซูที่พอจะทำงานได้ ขณะที่รายได้ในแต่ละวันอยู่ ที่ ประมาณสองพันจั๊ตเท่ านั้น จึงไม่ มีเงินพอที่จะรักษาน้องและยายได้ ต้องพึ่งพาร้านขายยาหน้าปากซอยแทน ถึงอย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่ายาอย่างน้อยวันละสองร้อยถึงสามร้อยจั๊ต การไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลสำหรับครอบครัวของปูซูคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ถึงแม้แม่และปูซูจะทำงานทั้งวันไม่ได้หยุดพัก แต่เงินที่ได้มาก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายตอนที่ พ่ อยังอยู่ พ่ อบอกว่ าจะส่ งปูซูเรียนหนังสือ แต่ก่อนเปิดเทอมไม่นาน พ่อก็มาจากปูซูและครอบครัวอย่างไม่มีวันกลับ ตั้งแต่นั้นมาความหวังที่ จะได้เรียนหนังสือของเธอก็พังทลาย เวลาเห็นเด็กคนอื่นไปเรียนหนังสือ ปูซูก็อยากจะไปเรียนเหมือนกับเขาบ้าง เธอจำได้ว่ า ตอนที่ ยังเป็นเด็ก พ่ อมักจะพูดให้ฟังว่ า“พ่อไม่มีความรู้ จึงต้องทำงานหนัก”
ทุกๆ วัน ปูซูจะไปเก็บผักจากท่าเรือตะโกงแล้วเอาไปส่งให้แม่ขายที่ตลาดตาแกต๊ะทุกครั้งที่ ปูซูไปส่ งผัก เธอมักเห็นครูผู้หญิงหลายคนมาสอนหนังสือที่ โรงเรียนปากทางตลาด พวกเขาแต่ งตัวสะอาดสะอ้าน ช่ างแตกต่างกับแม่ของเธอเหลือเกิน ปูซูคิดในใจทุกครั้ง
แม่ของเธอใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆ ไม่มีสีสันผมของแม่แห้งกรอบไม่มีชีวิตวีวา และสีออกแดงๆ ส้มๆ ไม่เหมือนกับคุณครูพวกนั้นและแย่ที่สุดก็คือ แม่ชอบพูดเสียงดัง ไม่ได้เหมือนคุณครูพวกนั้นที่พูดเบาๆ อย่างสุภาพ ความแตกต่ างอีกอย่ างหนึ่ งที่ ปูซูเห็นก็คือ แม่ ต้องเหนื่อยทุกวัน แต่ครูพวกนั้นไม่เห็นจะเหนื่อยเลยสักนิด หรือเป็นเพราะแม่ไม่มีความรู้ ซึ่งตัวเธอเองก็คงจะเป็นเหมือนแม่แน่นอน เพราะเธอเองก็ไม่มีความรู้เหมือนกัน อันที่จริงเธออยากจะอยู่ แบบสบายมากกว่ า ปูซูบอกกับตัวเอง
ปูซูชอบจินตนาการว่า ถ้าแม่ของเธอเป็นครู เธอคงได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ และได้เรียนหนังสือเหมือนกับคนอื่นๆ และคงไม่ต้องมาตากแดดตากฝนเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ แม่ก็คงจะพูดเพราะๆ เหมือนกับแม่คนอื่นเขา และไม่ ต้องหาผักเหมือนทุกวันนี้ด้วย อย่ างไรก็แล้วแต่ เธอจะโทษใครได้ ก็ในเมื่อทุกวันนี้แม่ไม่ได้เป็นครู ปูซูคิดอยู่คนเดียวลึกๆ
แต่ แม่ ก็ชอบพูดเสมอว่ า “ชีวิตของพวกเรานั้น แค่จินตนาการฝันลมๆ แล้งๆไปวันๆ ก็ไม่ได้ทำให้ท้องของเราอิ่มขึ้นมาหรอก”
แต่ถ้าปูซูอยากคิดจินตนาการ แม่คงห้ามเธอไม่ ได้เพราะมันไม่ เห็นจะแปลกตรงไหน ถึงยังไง ทุกวันนี้ท้องของเธอก็ยังไม่อิ่มเสื้อผ้าใหม่ๆ ก็ไม่เคยได้ใส่เหมือนกับคนอื่นๆอยู่ดี ปูซูตัดพ้อกับตัวเอง
อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้มีแต่คนบอกว่าปูซูเริ่ มโตเป็นสาวแล้ว เธอเองก็เริ่ มรู้สึกได้เพราะหน้าอกของเธอเริ่มใหญ่ขึ้นทุกวัน เรื่องนี้แม่ คงไม่ ได้สังเกต ลุงคนหนึ่ งในร้านเหล้าหน้าปากซอยชอบมาจับมือถือแขนแตะเนื้อต้องตัวอยู่ทุกทีเวลาเจอกัน ปูซูเคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่แม่ก็มักตะคอกใส่เธอว่า “ขี้เกียจทำงานก็เลยพูดอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ เธอน่ะอย่าเพ้อเจ้อให้มันมากนัก เข้าใจชีวิตของเธอให้ดีก่อนแล้วกัน” แม่ไม่เคยเชื่อในสิ่งเธอบอกซึ่งนั่นทำให้ปูซูแอบน้อยใจอยู่ลึกๆ
วันหนึ่ง ปูซูเห็นผักบุ้งจีนขึ้นเต็มไปหมดในคลองหน้าโรงเรียน ผักบุ้งจีนนั้นราคาดีมากแค่ มัดเดียวเธอก็จะได้เงินสองร้อยจั๊ตแล้วปูซูคิดในใจ ไม่ทันไรเธอก็กระโดดลงน้ำไปเก็บผักเพราะกลัวว่า ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวคนอื่นจะมาเก็บไปหมด “ผักบุ้งต้นใหญ่ ดีจัง” ปูซูพูดกับตัวเอง
ในระหว่างที่ลงไปเก็บผักบุ้งนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กๆ อ่านหนังสือดังแว่วมาจากโรงเรียนปูซูมัวแต่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ มารู้ตัวอีกที ปลิงก็กำลังดูดเลือดอยู่ ที่ ขา “นี่ ขนาดปลิงมาดูดเลือดฉันยังไม่รู้ตัวเลย ชีวิตของฉันก็คงไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่ อไปแล้ว” ปูซูบอกกับตัวเอง
เมื่อเก็บผักบุ้งเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านของปูซูมีร้านขายเหล้าร้านหนึ่ง ลุงเจ้าของร้านชอบซื้อผักบุ้งจากเธอครั้งละสองสามร้อยจั๊ต เพื่อเอาไปทำเป็นกับแกล้ม แต่ชอบต่อราคาเยอะ ปูซูก็ต้องจำใจขายให้เพราะอยากได้เงินไปซื้อขนม และวันนี้เธอก็กะว่าจะเอาผักไปขายให้ลุงคนนี้เหมือนเช่นเคย
“ลุงคะ หนูมีผักบุ้งจีนค่ะ” ปูซูตะโกนเรียก ไม่ทันไรเสียงตอบรับก็ดังขึ้น
“จ้าๆ เอาอยู่แล้วจ้า” คุณลุงออกมาจากร้านพร้อมยื่นเงินแบงก์ห้าร้อยจั๊ตให้เธอ
“หนูไม่มีเงินทอนค่ะลุงเอาห้าร้อยจั๊ตเลยไหมคะ” ปูซูถาม
“ได้สิจ๊ะ” ลุงตอบพลางทำหน้ายิ้มๆและยืนใบหน้าที่เหม็นกลิ่นเหล้าคลุ้งเข้ามาใกล้ปูซูแล้วพูดต่อไปว่า
“หนูก็โตเป็นสาวแล้วนะ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน” ลุงยื่นมือมาแตะตัวปูซูและพูดต่อว่า
“สาวน้อย เมื่อกี้นี้ลุงเห็นผักกระเฉดที่ป่าใกล้ๆ” เขามองหน้าปูซูอีกครั้งอย่ างมีเลศนัย แต่เด็กสาวไม่ได้สังเกต
“จริงเหรอคะ แต่ ป่ านั่ นลึกมากงูก็เยอะ หนูไม่กล้าไปหรอกค่ะ” ปูซูตอบ แต่ในใจก็อยากได้ผักกระเฉดเหมือนกันเพราะป้าคนหนึ่งในตลาดบอกว่า ถ้าได้ผักกระเฉดจะให้ราคาดีกว่าผักบุ้งหลายเท่า
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันไปบ่อย ยังไม่มีใครเห็นผักกระเฉดตรงนั้นเลยนะ บางครั้งฉันยังเก็บมากินเองเลย” ลุงพูด
“ถ้างั้น ลุงไปที่นั่นเมื่อไหร่ก็เรียกหนูด้วยนะ หนูไปคนเดียว หนูกลัวค่ะ” ปูซูพูดจบก็ยื่นผักบุ้งให้
“พรุ่ งนี้ถ้าฉันจะไป ฉันจะเรียกเธอเองนะ” ลุงพูดก่อนเดินหายเข้าไปในร้านปูซูเก็บเงินแล้วกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเธอพบว่า สีหน้าแม่ไม่ค่อยดี
“อาการน้องยังไม่ดีขึ้น ต้องส่งคลินิก”แม่บอกปูซูคิดได้ว่าแม่คงไม่มีเงินเธอจึงเอาเงินห้าร้อยจั๊ตที่ ขายผักบุ้งได้ยื่ นให้แม่ แต่ แม่กลับถามด้วยความสงสัยว่า
“แกเอาเงินมาจากไหน ถึงไม่มีจะกินก็อย่าขโมยของคนอื่น”ปูซูรู้แก่ ใจว่ าเธอไม่ ได้ขโมยจึงตอบไปว่า
“หนูไม่ได้ขโมยเงินคนอื่นหรอกนะ ลุงคนนั้นซื้อผักบุ้งของหนูตั้งห้าร้อยจั๊ตต่ างหาก” แม่ รับเงินแล้วอุ้มน้องและรีบวิ่ งไปที่คลินิกหน้าปากซอย
- - - - - - - - - -
“เฮ่อ...ค่อยยังชั่ว แม่กลับมาแล้วน้องคงสบายดีแล้วล่ะ” ปูซูบอกกับตัวเองหลังรอ แม่และน้องอยู่นาน
“แม่...น้องเป็นยังไงบ้าง” เธอไม่รีรอที่จะถาม
แม่ตอบด้วย สีหน้ากังวลว่า “หมอบอกว่าต้องพาส่งโรงพยาบาล”
ปูซูและแม่ต่างก็เงียบไปสักพัก เธอรู้ดีว่าแม่ไม่มีเงินเก็บ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีเด็กสาวบอกตัวเอง ทันใดก็คิดถึงผักกระเฉดขึ้นมาทันที
“แม่...มีคนบอกว่าในป่าใกล้ๆ มีผักกระเฉดขึ้นเยอะมาก พรุ่งนี้หนูจะไปเก็บให้นะ ป้าอะก๊อกในตลาดก็บอกว่าจะให้ราคาดีกว่ าผักบุ้ง” เธอบอกแม่ ด้วยความตื่นเต้น
“จ้าๆ” แม่ตอบ
วันรุ่งขึ้น ปูซูตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อหุงข้าวเตรียมไว้ ขณะที่แม่กำลังเตรียมตัวจะไปตลาดปูซูมุ่ งหน้าไปยังร้านเหล้าแต่ เช้าเพื่ อที่ จะไปเรียกลุงเจ้าของร้านให้ไปส่งเธอเก็บผักกระเฉด
“เฮ้ย สาวน้อยทำไมมาเรียกลุงแต่เช้ามีอะไรเหรอ กำลังนอนหลับสบายอยู่เลยชักจะโมโหแล้วนะ” ลุ งตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
“หนูอยากจะไปเก็บผักกระเฉด ไหนลุงบอกหนูว่าจะพาหนูไปไม่ใช่เหรอคะ”ลุงเจ้าของร้านเงียบไปสักพักก่ อนจะตอบว่า
“เออ...หนูไปก่อนนะเดียวฉันจะรีบตามไป”
ปูซูรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่รอลุงอยู่นั้น เธอคิดในใจว่า ถ้ามีผีโผล่ขึ้นมาเธอจะทำอย่างไรดีนะ และแล้วปูซูเห็นลุงเจ้าของร้านกับผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังเดินตามมา ความกลัวของปูซูก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าอย่างยากเย็นหนามเกี่ ยวโดนตามแขนตามขาของปูซูจนเลือดซิบ
“ไม่ เป็นไร วันนี้ฉันต้องหาเงินค่ ารักษาน้องให้ได้” ปูซูบอกกับตัวเอง
เมื่ อเข้าไปถึงในป่ าได้สักพักปูซูก็เห็นต้นผักกระเฉดเต็มไปหมด เธอดีใจมาก “มีผักกระเฉดจริงๆ ด้วย ดีที่ไม่มีใครรู้ ไม่อย่างนั้นคงหมดแน่ ๆ” ปูซูตรงรี่ ไปที่ ดงผักกระเฉดโดยไม่รีรอ
แต่ทันใดนั้น เหมือนมีใครสักคนดึงตัวเธอจากด้านหลัง ปูซูล้มลงไปทันที เธอตกใจมากเมื่อเห็นลุงเจ้าของร้านกำลังพยายามกอดเธอ เด็กสาวดิ้นสุดแรงแต่ไร้ประโยชน์ เพราะเธอไม่ สามารถสู้แรงของลุงได้ ปูซูพยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือให้ดังเท่าที่จะทำได้แต่เธอถูกบีบคออย่างแรงแทบหายใจไม่ออกและถูกขู่ว่า “อย่าตะโกนนะ ถ้าตะโกน ฉันจะฆ่าเธอแน่”
ลุ งพูดต่ ออีกว่ า “อย่ าเอาเรื่ องนี้ไปบอกใครนะ” แล้วควักเงินหนึ่งพันจั๊ตออกมาจากกระเป๋ายื่นให้เธอ “ถ้าเธอบอกคนอื่นฉันจะให้ตำรวจมาจับเธอ แต่ถ้าเธอไม่บอกใคร วันหลังฉันจะช่วยเธอหาเงินอีก” จากนั้นลุงเจ้าของร้านก็ลงมือข่มขืนปูซูทันที
ความโชคร้ายของเด็กสาวยังไม่จบสิ้นเมื่อเธอยังถูกลุงผู้ชายอีกคนข่มขืนต่อ โดยเพิ่มเงินให้เธออีกหนึ่งพันจั๊ต ในระหว่างที่เธอถูกข่มขืนปูซูพยายามรวบรวมความกล้าและพูดว่า
ูซูพยายามรวบรวมความกล้าและพูดว่า“น้องชายหนูไม่สบายมากหนูอยากได้เงินค่ารักษาพยาบาล ขอเงินเพิ่มให้เงินหนูอีกหน่อยได้ไหม” ชายทั้งสองยินยอมตามคำเรียกร้อง แม้เด็กสาวจะได้เงินเพิ่มอีกหนึ่งพันจั๊ต แต่ก็ไม่คุ้มกับความเจ็บปวดที่ได้รับทั้งทางกายและใจ และก่อนจะออกไปจากป่าแห่งนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะเก็บผักกระเฉดกลับไปให้แม่ที่ตลาด
- - - - - - - - - -
ระหว่ างทาง ปูซูเห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ งสวยและถูกใจเธอมากแต่ ราคาตั้งห้าพันจั๊ต“ฉันคงซื้อไม่ไหวหรอก” ปูซูบอกกับตัวเองแต่ ท้ายที่ สุดเธอก็ตัดสินใจซื้อกระโปรงราคาพันห้าร้อยจั๊ตมาตัวหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ส่วนเงินที่เหลือเธอตั้งใจจะเอาไปให้แม่เพื่อที่จะได้รักษาน้อง
ปูซูยื่นเงินให้แม่หนึ่งพันห้าร้อยเมื่อไปถึงตลาด ทันใดนั้น แม่มองปูซูอย่างสงสัยเพราะเห็นปูซูถือกระโปรงตัวใหม่อยู่ในมือ แม่ตะคอกถามปูซูทันทีว่า “แกเอาเงินพวกนี้มาจากไหนอย่าโกหกฉันนะ บอกมาตรงๆ ดีกว่า”
ปูซูตกใจมากและคิดถึงคำพูดที่ ถูกขู่ไม่ให้บอกใคร ปูซูไม่ยอมบอกแม่ในตอนแรกแม่เริ่มโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ เธอกับแม่ตกเป็นเป้าสายตาของแม่ ค้าทั้งตลาด ปูซูอยากจะร้องไห้ ในใจก็คิดว่า แม่คงไม่เข้าใจหรอกว่าเธอเจ็บปวดมากแค่ไหน
ปูซูนั่ งลงตรงหน้าแม่ และเริ่ มร้องไห้ออกมา “เงินนี่ ลุงจากร้านเหล้าเขาให้หนูมาเขาบอกว่า อย่าบอกใคร หนูก็เลยไม่บอกแม่”แม่มองหน้าปูซูด้วยความตกใจและตะโกนออกว่า “อะไรนะ! ”
แม่รีบเข้ามากอดปูซูไว้ในอ้อมอกและถามต่อว่า “บอกแม่มาตรงๆ นะ เกิดอะไรขึ้นกับลูก และตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปูซูร้องไห้ไปพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตอนแรกแม่โกรธมาก แต่แม่ก็จำใจกำเงินหนึ่ งพันห้าร้อยจั๊ตไว้แน่ น เวลานั้นป้าอะก๊อกเดินเข้ามาถามแม่ว่าจะขายผักกระเฉดไหม แม่ก็ตอบว่า “ขายค่ะ” ป้าอะก๊อกหยิบถุงผักกระเฉดไปและยื่นเงินให้แม่สองพันจั๊ต แม่รับเงินแล้วพูดว่า “โสร่งที่ฉันจำนำไว้ พรุ่งนี้ฉันจะมาไถ่คืนนะ”
- - - - - - - - - -
เวลาผ่านไป ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับปูซูเริ่มจางหายทีละน้อยๆ ลุงจากร้านเหล้ายังคงเรียกปูซูให้เข้าไปหาในร้านเหมือนเดิมบ้างครั้งยังแนะนำให้ปูซูรู้จักกับลุงหน้าใหม่ๆทุกครั้งที่เข้าไปในร้าน ปูซูก็จะได้ค่าขนมมาครั้งละสามพันจั๊ต สำหรับปูซูแล้ว การหาเงินจำนวนสามพันจั๊ตโดยวิธีอื่นคงยากมากแม่ พูดกับปูซูเสมอว่ า อย่ าขโมยของคนอื่ น
“ตอนนี้ปูซูไม่ ได้ขโมยของคนอื่ นเขาอยากให้ปูซูเอง คงไม่เป็นไรหรอกนะ”
เด็กสาวพูดกับตัวเองเธอยังคงคิดในใจต่อไปอีกว่า
“ถ้ารายได้จากการขายผักบุ้งพอเลี้ยงครอบครัวได้ ฉันก็ไม่มีวันที่จะเหยียบเข้าไปในร้านนั่นอีกเป็นอันขาด”