มองพม่าผ่านสายตาของผู้นำพม่ายุคปัจจุบัน


โดย ธันวา สิริเมธี
เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ โดยศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ร่วมกับศูนย์ชาติพันธุ์ศึกษาเพื่อการพัฒนา ได้จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ประวัติศาสตร์พม่า : ความหลากหลาย อำนาจ ความรู้ และความ เป็นอื่น” นำเสนอโดยดร. สุเนตร ชุตินธรนนท์ ผู้อำนวยการสถาบัน เอเชียศึกษา

ดร.สุเนตรเริ่มต้นกล่าวถึงประเด็นของ “พม่า” ในการบรรยาย ครั้งนี้ว่า การมองพม่าจะมองผ่านสายตาของผู้นำหรือรัฐพม่าเป็นหลักเพื่อให้เราได้เข้าใจเรื่องพม่าที่ผ่านมาและในปัจจุบัน โดยจะใช้กรอบการมองที่ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นการมองในเชิงมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม อาทิ ผู้นำพม่าใช้ประวัติศาสตร์ในการสร้างอำนาจความชอบธรรมทางการเมือง โดยจะมองผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น


การแบ่งยุคการเมืองพม่าทำได้หลายวาระ เช่น หลังการประกาศ เอกราช มีการแบ่งการเมืองได้หลายแบบ หากใช้กรอบการแบ่งตั้งแต่ปี 1988 หรือตั้งแต่ช่วงปี 1990 ถึงปัจจุบัน การอรรถาธิบายต้องย้อนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในปี 1988 ด้วย เมื่อเป็นกรอบนี้ เราต้องเข้าใจว่าประวัติศาสตร์ที่ผันแปรหรือช่วงเปลี่ยนแปลงจะใช้ปี1988เป็นจุดตัดช่วง (break) และเป็นจุดเริ่มต้นเคลื่อนไหวทางการเมือง คือการ ลุกฮือของประชาชน 

การเปลี่ยนแปลงอำนาจของผู้นำพม่าเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากเหตุการณ์ 8888 หรือ 8 สิงหาคม 1988 โดยนายพลเนวินซึ่งเถลิงอำนาจ ตั้งแต่ปี 1962 ต้องลงจากอำนาจ หลังจากนั้นก็มีทหารรุ่นใหม่ขึ้นมาปกครองประเทศ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำได้ไม่กี่เดือนก็ต้องเปลี่ยนผู้นำใหม่เพราะเกิดการปฏิวัติภายใน จนกระทั่งวันที่ 16 มิถุนายน 1990 มีการเลือกตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นในพม่า และพรรค NLD ชนะถึง 392 ที่นั่งจาก 485 ที่นั่ง คิดเป็น 80%  ส่วนพรรค UNP  ซึ่งเป็นพรรคของรัฐบาลได้แค่ 10 ที่นั่ง ส่งผลให้รัฐบาลทหารภายใต้ชื่อ “SLORC” (ภายหลังเปลี่ยนเป็น SPDC) ปฏิเสธการถ่ายโอนอำนาจ

ในปี 1992 เป็นช่วงที่นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกลุ่มผู้นำทหารพม่าที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้นำพม่าที่ขึ้นมามีอำนาจเป็นกลุ่มของยุคทหารที่มีบทบาทสำคัญในการรบกับชนกลุ่มน้อย เป็นทหารระดับ ภูมิภาค คือ ตานฉ่วย และหม่องเอ ร่วมกับกลุ่มที่มีฐานอำนาจเดิมอย่างขิ่น ยุ้นต์ ซึ่งใกล้ชิดกับเนวิน ช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง กลุ่มผู้นำอย่างเป็นรูปธรรม เพราะกลุ่มฐานอำนาจเดิมเป็นทหารระดับอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กับการต่อสู้ในช่วงอาณานิคมกับอังกฤษและญี่ปุ่น หรือเพื่อนร่วมรุ่น 30 สหายของนายพลอองซาน แต่กลุ่มฐานอำนาจ ใหม่มีบทบาทด้านการรบแนวหน้า อย่างไรก็ตาม จะเป็นกลุ่มไหนขึ้นมา ก็แล้วแต่ มันไม่เกิดกระบวนการส่งอำนาจจากการเลือกตั้งจากกองทัพสู่ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย


สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามก็คือ ทำไมกองทัพถึงคงอำนาจได้ยาวนานเหลือเกิน มีการตั้งข้อสังเกตว่า กองทัพมีอำนาจยึดครองทรัพยากรและอาวุธต่างๆ อีกมิติหนึ่งคือภายในของพม่ามีปัญหาใหญ่ที่ไม่ใช่กองทัพ แต่อยู่คนละฝ่ายกับกองทัพ นั่นคือปัญหาความเป็นเอกภาพซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ พรรค NLD ส่วนหนึ่งก็ไม่ไว้วางใจชนกลุ่มน้อย เพราะเกรงว่าจะมีสิทธิในการปกครองตนเอง กลุ่ม NLD เองก็ไม่ได้ สร้างสัมพันธ์กับชนกลุ่มน้อยที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ขณะที่ชนกลุ่มน้อย จริงๆ แล้วเป็นองค์ประกอบที่ไม่น้อยในพม่า คือ 35% และเคลื่อนไหวทางการเมืองและเชิงอำนาจมาตลอด คือไม่ไว้วางใจพวกขับเคลื่อนประชาธิปไตยว่ามีความคำนึงกับสิทธิชนกลุ่มน้อยมากเพียงไหน

ภาวการณ์ คือ หากอำนาจหลุดมือไปอยู่ในมือพลเรือนประเทศจะมีเอกภาพหรือไม่ถ้าทหารไม่คุม อันนี้ให้ความชอบธรรมกับกองทัพในการสืบสานอำนาจ แต่คนก็เบื่อหน่ายอย่างยิ่งกับการปกครองของกองทัพในหลายประเด็น โดยเฉพาะความไม่แน่นอนในการ บริหาร ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ลดค่าเงินจั๊ตในยุคนายพลเนวิน หรือเหตุการณ์ขึ้นราคาน้ำมันจนเป็นเหตุให้พระสงฆ์เดินขบวนประท้วงรวมไปถึงการขาดสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ

คำถามที่เกิดขึ้น คือ เราจะอธิบายความชอบธรรมหรือ political legitimacy อย่างไร ตรงนี้เป็นปัญหาที่แหลมคมขึ้นมาทันที จนทำให้ ท้ายที่สุด รัฐบาลพม่าไม่มีทางเลือกมากนักและต้องกลับไปสู่เวทีการเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องไป ปัญหาคือจะทำอย่างไรไม่ให้ ผลการเลือกตั้งออกมาแบบครั้งที่ผ่านมา คือพรรคฝ่ายตรงข้ามชนะ มากถึง 80% ถ้าเป็นอย่างนั้น รัฐบาลทหารจะบอกว่าไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งอีกก็ไม่ได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาของรัฐบาลจะมุ่งประเด็นไปที่ เป้าหมายที่หนึ่ง คือ การสร้างความมั่นใจว่า หากมีการเลือกตั้งจะต้องไม่มีการถ่ายโอนอำนาจของรัฐจากกองทัพไปสู่กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง กระบวนการนี้รัฐบาลพม่าใช้เวลา 20 ปีเพื่อให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นและได้ผลตามที่ต้องการ เป้าหมายที่สอง คือ ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่ฝังรากมาช้านานให้เป็นระบบระเบียบ หรือการจัดการกับสิทธิเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยให้ได้ด้วย ทั้งสองเรื่องเป็นเป้าหมายรัฐบาลต้องทำให้ได้

จากเป้าหมายข้างต้นส่งผลให้รัฐบาลดำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามมา คือ การเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และการทำแผน Roadmap ภายใต้กรอบ “ประชาธิปไตยภายใต้กฎเกณฑ์”หรือ Discipline Democracy  ไม่ว่าเป็นการร่างรัฐธรรมนูญ การลงประชามติในช่วงเกิดพายุนาร์กิส การจัดให้มีการเลือกตั้งและเปิดรัฐสภาในเวลาต่อมา และต่อไปคือการสร้างชาติให้ทันสมัย และมีกิจกรรมอีกมากมายที่อยู่ในเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องทำ ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างโดยสังเขป ที่เริ่มจากปี 1990 ซึ่งใช้เวลา 20 ปี กรอบเวลาตรงนี้มันบอกอะไรเรา คือ หนึ่ง การสร้างกรอบของกองทัพนับแต่การเลือกตั้งในปี 1990 มาถึง ขั้นตอนที่มีการเลือกตั้งกินเวลา 20 ปีที่ปฏิเสธการถ่ายโอนอำนาจ รัฐบาลอาศัยความชอบธรรมอะไร และต้องนั่งอยู่ในอำนาจก่อน อธิบาย ความชอบธรรมที่อยู่บนเก้าอี้ของการปกครองของประเทศอย่างไร เขาอธิบายอย่างไร

เป้าหมายที่สาม คือ กองทัพจำเป็นต้องสร้างความชอบธรรมให้กับการดำรงอยู่ในอำนาจของตนเอง โดยไม่ต้องอิงหลักกฎหมายสากล เนื่องจากรัฐบาลพม่าเป็นผู้ล้มโต๊ะผลการเลือกตั้ง จึงไม่มีความชอบธรรม ในสายตาของประชาคมโลก รัฐบาลพม่าจึงมองย้อนกลับไปสร้างความชอบธรรมโดยเลือกกลไกทางอำนาจในการแสดงถึงความชอบธรรมผ่านปฏิบัติการทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม (Cultural norms and Popular beliefs) เพื่อ หนึ่ง ให้ความชอบธรรมกับกองทัพในการปกครอง สอง ลดความสำคัญของฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิบัติการทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ที่ถูกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ด้วยงบประมาณมหาศาลและสอดประสานกับปฏิบัติการทางการเมืองที่ควบคู่กันไป โดยมีลักษณะเด่นของปฏิบัติการ 3 แนวทาง ประกอบ ด้วย


แนวทางแรก คือการใช้กลไกวัฒนธรรมโบราณ สิ่งนี้มีปรากฏ อยู่ในประวัติศาสตร์พม่า กษัตริย์พม่าอ้างตนเองเป็นพระธรรมราชา หรือพระโพธิสัตว์ การเป็นพระธรรมราชาคือเป็นองค์ศาสนูปถัมภก  หรือ  เรียกตามภาษาพม่าว่า “ตาตานาดายากา” โดยต้องทำกิจกรรมสำคัญ ทางศาสนา อาทิ การสร้างเจดีย์เก็บพระบรมสารีริกธาตุ (The sacred tooth relic pagoda) ในปี 1994 เพื่อบรรจุพระเขี้ยวแก้วจำลอง การสร้าง พระพุทธรูปหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Lawka Chantha Abhaya Babha Muni ใกล้สนามบินย่างกุ้งในปี 2000 การสร้างพระพุทธรูปจึงเป็น บารมีอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้นำพม่าจึงมีรูปของพวกตนปรากฏอยู่ในภาพวาดบนผนังของวัดสำคัญๆ โดยในยุคที่ขิ่น ยุ้นต์ยังมีอำนาจ ภาพของเขาปรากฏอยู่มากมายตามศาสนสถาน แต่หลังจากหมดอำนาจ ลงไปแล้ว ภาพวาดของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยภาพวาดคนอื่นไปโดยปริยาย  ประเพณีทางศาสนาที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดที่ผู้นำพม่ายุคปัจจุบันได้กระทำเลียนแบบกษัตริย์ในอดีต คือ ประเพณียกฉัตร เจดีย์ชเวดากอง ซึ่งในประวัติศาสตร์ของพม่า กษัตริย์มินดงเป็นกษัตริย์ที่ได้ทำเป็นองค์สุดท้ายในปี 1871 และทหารพม่าได้ทำพิธีนี้อีกครั้งในวันที่ 4 เมษายน 1999  

นอกจากนี้ กิจกรรมที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตมักจะทำกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การสร้างพระนคร” หรือ “การย้ายเมืองหลวง”เพราะเชื่อว่า กิจกรรมสร้างพระนครไม่ใช่เรื่องของมนุษย์เพียงอย่างเดียว ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระอิศวร พระอินทร์ และต้องเป็นผู้ที่มีบุญบารมีถึงจะมีเทพมาช่วย การสร้างเมืองเป็นการบ่งชี้นัยยะทางอำนาจ ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งของการย้ายเมืองหลวงไปสู่เนปีดอว์

แนวทางที่สอง คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังปี 1990 เป็นต้นมา คือ รัฐบาลเริ่มเอารูปของอองซานออกจากธนบัตรพม่า และหยุดสร้างอนุสาวรีย์อองซาน ตลอดจนพิธีวางพวงมาลาที่เคยทำเป็นกิจจะลักษณะ แล้วก็เปลี่ยนมาสร้างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์แทน คือ บุเรงนอง อโนรธา และอลองพญา เพราะกษัตริย์ทั้งสามมีประวัติในการรบชนะประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปรามชนกลุ่มน้อย และสร้างความ เป็นเอกภาพ การเลือกกษัตริย์ทั้งสามขึ้นมาเป็นการจัดรูปลักษณ์การนำเสนอและวางเรื่องใหม่ที่มีนัยยะสำคัญต่อกองทัพ

แนวทางที่สาม คือ ปลุกสำนึกชาตินิยม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยน ชื่อประเทศ Burma เป็น Myanmar การเปลี่ยนชื่อเมือง ให้มีการออกเสียงใหม่ รวมถึงการเรียกชื่อชนกลุ่มน้อย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1989 เปลี่ยน เพลงชาติจากคำว่า Burma ให้เป็น Myanmar เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้บ่งบอก ถึงการอธิบายความชอบธรรมให้กับกองทัพในการปกครองว่า ทำไมถึงมี ผู้นำประมาณนี้อยู่ และเป็นการตอกย้ำให้เห็นความสำคัญกับกองทัพที่ยึดโยงโดยความเป็นเอกภาพ ถ้าไม่มีผู้นำแบบนี้ บ้านเมืองจะเป็นเอกภาพ หรือไม่ การทำสิ่งเหล่านี้จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตามที บ่งชี้สถานะอันปฏิเสธไม่ได้ของกองทัพ ไม่ว่าประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างไร กองทัพต้องอยู่คู่กับความเป็นพม่า สิ่งที่ถูกสร้างล้วนให้ความชอบธรรมเหล่านี้ ที่ไม่เพียงอธิบายการอยู่ในอำนาจมา 20 ปี และการสืบทอดอำนาจจากนี้และต่อไป กองทัพจะมีบทบาทในการจัดกระบวนการไปสู่ประชาธิปไตยที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยภายใต้กฎเกณฑ์” การเมืองพม่าจะเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง ถึงอย่างไรก็ต้องมีกองทัพพม่าที่มีบทบาทสำคัญอยู่เหมือนเดิม.