กลางฤดูร้อนปี 2545 ฉันเดินทางไปยังทะเลสาบอินเล สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่าเป็นครั้งแรก แม้ว่าวันนี้เวลาจะผ่านไปนานนับแปดปีแล้ว แต่ความทรงจำที่มีต่อทะเลสาบ ผืนนี้กลับยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ภาพทะเลสาบน้ำจืดกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ชาวประมงพายเรือด้วยเท้าอย่างคล่องแคล่วตั้งแต่รุ่นเยาว์ไปจนถึงรุ่นอาวุโส เอกลักษณ์กลางผืนน้ำที่นำพานักท่องเที่ยวจากทุกมุมลกเดินทางมาเยือน ฉันยังจำได้ดีถึงบรรยากาศยามเช้าอันสุดแสนโรแมนติก สายหมอกลอยเอื่อยเหนือทะเลสาบ นึกถึงทีไรต้องนั่งอมยิ้มราวกับแอบหลงรักใครสักคน
ทว่า...ภาพความทรงจำอันแสนหวานของฉันกลับต้องเปลี่ยนไป หลังจากเห็นข่าวทะเลสาบอินเลเหือดแห้งจนเห็นผืนดินแตกระแหงในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องราวอันน่าเศร้าใจจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “Floating Tomatoes” หรือ “มะเขือเทศลอยน้ำ” ซึ่งชาวอินเลกำลังเจ็บป่วยล้มตายจากการใช้สารเคมีปลูกมะเขือเทศเลี้ยงคนทั้งประเทศ
หลังจากนั่งชมภาพยนตร์สารคดีความยาวสามสิบนาทีจนจบ ฉันก็ได้แต่นั่งเศร้าใจราวกับเห็นคนรักกำลังป่วยหนักเพราะถูกวางยา ลมหายใจของเขาแผ่วเบาลงเรื่อยๆ และอาจจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ตั้งแต่จำความได้ลุงก็ดื่มน้ำจากทะเลสาบแห่งนี้ แต่วันนี้ลุงไม่กล้าดื่มอีกแล้ว เพราะมันปนเปื้อนสารเคมีจากไร่มะเขือเทศลุงเห็นผู้คนที่ดื่มน้ำจากทะเลสาบป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ ”
ลุงทุน เงียว ชายชราวัย 77 ปี บอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของ ทะเลสาบที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ผ่านภาพยนตร์สารคดี ชาวอินเลจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ดื่มน้ำสะอาดจากทะเลสาบอินเลคือปี ค.ศ. 2000 หรือ สิบปีมาแล้ว นอกจากนี้ น้ำในทะเลสาบยังแห้งขอดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ในช่วงหน้าแล้ง น้ำบางช่วงสูงแค่ 4 ฟุตเท่านั้น ส่งผลให้ปลาที่เคยมีกินอย่างอุดมสมบูรณ์เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
ฉันยังจำได้ดีว่าแปลงผักลอยน้ำของชาวอินเลเคยมีพืชผักนานาชนิดปลูกสลับกันไป ระหว่างนั่งเรือล่องไปตามทะเลสาบจะมองเห็นผักสวนครัวอวบอิ่มอยู่ตามแปลงผักสองข้างทาง ทุกๆ กาดห้าวัน หรือ ตลาดนัดทุกห้าวัน ชาวบ้านจะนำผักนานาชนิดมาขายที่ตลาดให้เลือกซื้อเลือกหากันอย่างละลานตา โดยส่วนใหญ่เป็นผักจากธรรมชาติ ใช้ สารเคมีเป็นส่วนน้อย ตรงกันข้ามกับภาพที่ฉันเห็นในภาพยนตร์สารคดี แปลงผักลอยน้ำส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นไร่มะเขือเทศกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บนเรือของชาวบ้านเต็มไปด้วยมะเขือเทศสีเขียวสีแดง ไม่มีผัก ชนิดอื่นเลย เมื่อมาถึงฝั่ง มะเขือเทศเหล่านี้ก็ถูกส่งไปยังโกดังกว้างใหญ่เพื่อรอจัดเก็บลงในลังไม้ส่งไปขายให้กับคนทั่วประเทศพม่า

เมื่อรายได้จากการปลูกมะเขือเทศดูเป็นกอบเป็นกำมากกว่าการจับปลาที่เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทางเลือกที่เขาจะสานต่อความฝันจึงมีไม่มากนัก...แม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเสี่ยงอันตราย และเขาอาจ วิ่งไล่ตามความฝันไม่ทันก็ตาม
เมื่อสองปีที่ผ่านมามีรายงานข่าวว่า เด็กชายวัย 8 ปีต้องเสียชีวิต ลงเพราะดื่มน้ำจากทะเลสาบที่สั่งสมไปด้วยสารพิษ ผู้เป็นพ่อวัย 57 ปี ไม่มีเงินมากเพียงพอจะส่งลูกไปรักษาถึงโรงพยาบาลในเมืองใหญ่ จึงส่ง ไปรักษาที่สถานีอนามัยในชุมชนซึ่งมีขีดการรักษาจำกัด เช่นเดียวกับ หญิงสาววัย 20 ปีที่เกือบเสียชีวิตจากสารเคมีในไร่มะเขือเทศเมื่อหลายปีก่อน เธอถูกส่งไปถึงมือหมอด้วยอาการสลบไม่ได้สติและลมหายใจรวยริน โชคดีที่หมอช่วยยื้อยุดลมหายใจของเธอจากมัจจุราชได้ทันเวลา...
ทุกวันนี้ บนเรือของชาวอินเลไม่ได้มีเพียงเครื่องมือจับปลาเป็นอุปกรณ์จำเป็นเท่านั้น แต่ยังต้องมีถังน้ำสีเหลืองวางอยู่ประจำ เพราะต้องนำไปใส่น้ำดื่มจากท่อประปาที่ต่อมาจากแม่น้ำยองวันเป็นเวลาสามปีมาแล้ว น้ำในทะเลสาบถูกใช้สำหรับอุปโภค แต่ไม่สามารถนำมาบริโภคได้เพราะเสี่ยงต่อการสะสมสารพิษในร่างกาย
ผลกระทบจากการปลูกมะเขือเทศและใช้สารเคมีบนแปลงผักลอยน้ำทำให้สารเคมีตกค้างอยู่ในทะเลสาบส่งผลให้ปลาลดลง เมื่อจับ ปลาได้น้อยลง ชาวอินเลก็ยิ่งปลูกมะเขือเทศกันมากขึ้น จนกลายเป็นวัฏจักรของสารพิษที่ตกค้างอยู่ในน้ำแบบทวีคูณ
มินท์ติ่นโกโกยี เป็นผู้ผลิตหนังสารคดีเรื่องนี้ เดิมเขาตั้งใจว่าจะเก็บ ภาพความงดงามของทะเลสาบอินเล แต่ภายหลังต้องเปลี่ยนประเด็นไปสู่ความทุกข์ยากของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมีเกินขนาดแทน
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้นำเสนอประเด็นที่ชวนตั้งคำถาม แต่ ไม่มีใครตอบได้ว่า ขณะที่ประชาชนทุกครอบครัวต่างมีความฝันเล็กๆ แค่เพียงส่งลูกเรียนให้สูงที่สุด หรือมีบ้านหลังเล็กๆ สักหลังเป็นของตนเอง โดยมีไร่มะเขือเทศเป็นต้นทุนขยายความฝันให้เติบโต แม้ว่าพวกเขาจะ เริ่มรู้ถึงพิษภัยที่ตามมาจนอาจทำให้พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ถ้าหากไม่มีใครหยิบยื่นทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยกว่า พวกเขาก็คงจะต้องเลือกชีวิต ที่สะสมสารพิษกันต่อไป... หากใครโชคดีอาจตามหาฝันจนเจอ หากโชคร้ายก็คงต้องทิ้งความฝันให้หลุดลอยไป
หลังจากนั่งชมภาพยนตร์สารคดีชิ้นนี้จบลง ฉันได้แต่นั่งสับสนในใจว่า ขณะที่รัฐบาลพม่ากำลัง “ขาย” ทะเลสาบอินเลให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกมากเยือน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ชีวิต ของชาวอินเลกลับกำลังถูกคุกคามด้วยสารพิษ ประชาชนชาวอินเลกำลัง เจ็บป่วยล้มตายลงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับปลาในทะเลสาบที่ลดน้อยลง และน้ำที่แห้งเหือดจนเห็นผืนดินแตกระแหง....
หากรัฐบาลยังปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ดำเนินต่อไป อีกไม่นานรัฐบาลคงจะ “ขาย” ความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้ ได้จากเพียงโปสการ์ดเก่าๆ เท่านั้นเอง.