ไค่หลักแหลมเข้ากาด

โดย นิพัทธ์พร เพ็งแ้ก้ว



คนไทใหญ่มี “กวามกั๊บถุก” หรือคำโบราณ สอนใจสั้นๆ ที่รู้กันโดยทั่วไปว่า “ไค่ลักแหลม เข้ากาด” แปลตรงตัวชัดที่สุดก็คือ “อยากฉลาดให้ไป ตลาด” จะตลาดไหนก็ไปเถอะ เพราะตลาดเป็น ที่รวมของผู้คนทุกสารทิศ ของดีของแปลก คนดีคนบ้า ข่าวสาร สารพัดล้วนรวมอยู่ที่ “กาด” หรือตลาดทั้งนั้น จะปล่อยข่าว ส่งข่าว สืบข่าว นินทาว่าร้าย ด่าทอใคร ไปกาดกันเถอะ ยิ่งถ้าเป็นมนุษย์สังคมสูง เพื่อนฝูงเยอะแยะ เป็นอันว่าไปถึงกาด เมื่อไหร่ย่อมมั่งคั่งด้วยข่าว นานาเต็มสองหู ใครขี้รำคาญคงแทบอุดรูหูเดินหนีเกือบไม่ทัน

ดิฉันก็ชอบไปตลาดเหมือนคนอื่นๆ กลับบ้านเพชรบุรีเมื่อใด แค่ เช้ารุ่งขึ้นก็ต้องกระเสือกกระสนออกไปเดินตลาด สิ่งแรกที่ทำคือซื้อปลา ที่กำลังจะถูกฆ่า ทั้งปลาดุกปลาช่อนไปปล่อยลงแม่น้ำเพชร อุทิศกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร โดยเฉพาะนายเวรปลาดุก เพราะอยู่บ้านกรุงเทพฯ นึกอะไรไม่ออก ก็ซื้อมันแต่ปลาดุกย่าง ซอยพริกซอยหอมแดง เหยาะ น้ำปลาคลุกข้าวสวยกินอยู่เป็นเมนูประจำ

เมื่อชอบไปตลาดมาแต่เด็ก ไม่ใช่เพราะอยากฉลาดเหมือนคน ไทใหญ่ แต่เพราะเป็นผู้หญิงตะกละ ชอบกินมากๆ และตลาดมีของแปลก  ของอร่อยให้เลือกกินไม่หวาดไม่ไหว เวลาเดินทางไกลไปตามประเทศ ต่างๆ ในแผ่นดินอุษาคเนย์ ดิฉันก็เอาเลย ต้องไปเยี่ยมตลาด ไปดู ของแปลกในพื้นที่ต่างๆ ที่จะมารวมอยู่ในตลาดของเมืองนั้น ถือเป็น  โปรแกรมแรกๆ ที่พลาดไม่ได้

เกือบ 20 ปีก่อน ราว พ.ศ.2536 ตลาดที่ดิฉันประทับใจสุดๆ แห่งหนึ่งคือตลาดเมืองเชียงตุง ไปเชียงตุง 4-5 วัน เช้าขึ้นมาวนเวียนอยู่กับ ตลาดไม่ยอมไปไหน เพื่อนๆ หนุ่มช่างภาพ 3-4 คนที่ไปด้วยก็ปักหลัก อยู่กลางตลาดตั้งแต่เช้าตรู่จนเกือบเที่ยง หนุ่มพวกนั้นไม่ได้บ้าซื้อหา ของกินหรอก แต่ทุกคนซี้ดปากฮื้อฮ้า..เพราะแม่ค้าสาวๆ ในตลาดเชียงตุง สวยขาดใจไปเลย นั่งขายของอยู่ 10 คน สาวๆ แม่ค้าสามารถส่งประกวด นางงามได้ซะ 8 คน ส่วนอีก 2 คนที่เหลือก็ยังพอจะไปวัดตอนเช้า ได้สบาย

ตลาดเชียงตุงที่ดิฉันได้เห็นในวันนั้นดูแล้วมันส์มาก เพราะไม่มี รถยนต์หรือรถปิ๊กอัพสักคันมาตลาด มีแต่ “ล้อ” หรือเกวียนเทียมวัวจอด  แน่นไปหมด มีจักรยานสองล้อจอดกันเต็ม มอเตอร์ไซค์มีน้อยมาก และมี  ชนเผ่าต่างๆ ในรัฐฉานใส่เสื้อผ้าของแต่ละเผ่าสีสันฉูดฉาด ฟ้า เขียว   ชมพู สวมสร้อยเครื่องประดับหัว โพกผ้า สวยงามเหนือบรรยายยังกับ เดินอยู่ในโลกชนเผ่าเมื่อร่วมร้อยปีก่อน

ิฉันซึ่งอายุ 20 ต้นๆ ในวันนั้นยังเป็นสาวละอ่อน เดินหาของกิน กับเพื่อนสาวไทยด้วยกันอย่างแสนสนุก เราไปยืนหน้าหม้อใหญ่ต้มน้ำ เดือดควันโขมง หนุ่มเชียงตุง 2-3 คนกำลังช่วยกันสับเนื้อทุบเนื้อให้ ละเอียดแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ โยนลงหม้อต้มน้ำ เนื้อก้อนจมดิ่งแล้วลอย ดึ๋งขึ้นมา เขาทำลูกชิ้นเนื้อสดๆ ตรงนั้น ดิฉันกับเพื่อนก็ซื้อลูกชิ้นเนื้อ สุกๆ ที่เขาตักขึ้นจากหม้อน้ำร้อนเดือดๆ เขย่าให้สะเด็ดน้ำร้อน เรายืน กินลูกชิ้นข้างเตาไฟควันโขมงแสบลูกหูลูกตา อร่ อยไม่ มีอะไรเปรียบ คนไทเขินเชียงตุงทั้งลุงทั้งป้า ยืนหัวเราะความตะกละของเราอย่ าง สนุกสนาน เป็นวันที่ดีมากๆ ในความทรงจำ

เมื่อปีก่อนถามเพื่อนที่เพิ่งไปเที่ยวตลาดเชียงตุงมา เขาบอก เดี๋ยวนี้ไม่ มีล้อเกวียนมาจอดเรียงเป็นแถวที่ ตลาดให้คนได้เห็น มีแต่  รถยนต์ รถปิ๊กอัพกับมอเตอร์ไซค์ และแทบไม่มีคนชนเผ่า แต่งตัวเต็มยศ  ชนเผ่ามาตลาดกันอีก คนมาตลาดเชียงตุงใส่เสื้อผ้าปกติเหมือนคนไทย ไปแล้ว

ฟังแล้วน่าเสียดายพิลึก และรู้สึก โชคดีที่ มีโอกาสได้เห็นตลาดเชียงตุงใน วันวาน

สำหรับตลาดประเทศลาวก็สนุกไม่ น้อย เมืองหลวงพระบางนั้นตลาดเช้าจะมีของสด ผักสดขายกันเต็มทั่ ว  ดิฉันไปหลวงพระบางครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2537 ยังได้เดินดูหมู เนื้อ ไก่  เห็นไก่ โต้งโก่ งคอขันเอ๊กอี๊เอ้กเอ๊ก ไก่ ตัวเมียร้องกะต๊ากๆ ดิ้นปั้ดๆ  อยู่กลางตลาด มีผักมากมายหลากหลายชนิด ทั้งหอมแบน(ผักชีฝรั่ง)  ผักไห่ (ตำลึง) ผักอีตู่ (โหระพา) ผักกันกำ(สะระแหน่ ) ผักบัว(ต้นหอม)  และยังมี “ไค่แผ่น” ทำจากตะไคร่น้ำโขง ขึ้นในพื้นที่น้ำสะอาดใส คนลาว  เอามาคลุกเกลือ ข่า กระเทียม แผ่เป็นแผ่นตากแห้ง ทอดฟู่เดียวในน้ำมัน  ร้อนๆ ตักขึ้นกินทั้งหอมๆ กรอบๆ แกล้มเบียร์อร่อยเป็นที่สุด

แต่ ที่ มันส์มาก มีของให้ดูกันตาหูลายไปเลยคือตลาดเมือง เชียงขวางประเทศลาว ดิฉันเพิ่งไปเยือนมาเมื่อปี พ.ศ.2552  ที่ขายกัน  เต็มตลาดนั้นคือ กบ เขียด อึ่งอ่าง จับใส่กะละมัง แยกเอาไว้เป็นอย่างๆ   แล้วยังมี หนู กระรอก แย้ กะปอม(กิ้งก่า) ย่างฟืนมาตัวแห้งแหงแก๋ ใส่ ถาดกองพะเนินเทินทึกให้เลือกซื้อ คนมาดู หยิบ วาง ต่อราคาซื้ออยู่  เยอะแยะ ดิฉันเดินถ่ายรูปซะเพลินเพราะแปลกมาก หลายอย่างไม่เคย เห็นที่เมืองไทย เดินวนเวียนอยู่ในตลาดเกือบสะดุดตะกร้าพลาสติกตั้ง ซ้อนๆ เป็นแถว ชะโงกเข้าไปดูแล้วถอยกรูดเพราะมีสัตว์ประหลาด  หน้าตาเหมือนน้องๆ ไดโนเสาร์ อย่ างที่ คนไทยเรียกว่ า  “ตะกวด” แถมยังมีตัว “เหี้ย” หรือตัวเงินตัวทองถูกจับมานอนแผ่แบหลา มัดมือ  มัดตีน กองรวมๆ กันไว้ รอให้คนมาชี้นิ้วซื้อแล้วหิ้วกลับบ้านไปปาด คอหอยชำแหละเป็นอาหาร

ดิฉันได้แต่กดชัตเตอร์ถ่ายรูปแชะๆ มา เจ้าของร้านยิ้มกว้าง ปากแทบถึงรูหู อยากถ่ายรูปก็ถ่ายไปตามสบาย ดิฉันเคยได้รู้มาว่าเนื้อ โคนหางของตะกวดและเหี้ยที่เรียกว่า “บ้องตัน” นั้นอร่อยนัก แต่ก็ ไม่เคยนึกอยากกิน ไข่เหี้ยก็ถือเป็นไข่สัตว์ที่อร่อยมาก ไข่แดงงี้มันแผล็บ ไม่ มีไข่ อะไรสู้ได้ ถึงจะรู้อย่ างนั้นแต่ ดิฉันก็ ไม่เคยกระเสือกกระสนไปหามาทดลองกิน แค่กินไข่ไก่ไข่เป็ดก็ถือว่าอร่อยเพียงพอแล้ว สำหรับชีวิต และสมัยเด็กๆ เคยอ่านสารคดี จากนิตยสาร “ชาวกรุง” เขียนเล่าไว้ว่า เนื้อ เหี้ยถือว่ าอร่ อยและมีคุณค่ าทางอาหารมาก แต่ ห้ามเด็ดขาดไม่ ให้เอาน้ำมันเหี้ย หรือน้ำมันในท้อง เหี้ยมาทำเจียว มาทอดทำอาหาร เพราะจะทำให้คนกินท้องร่วง อย่างรุนแรง แทบหมดแรงตายลงไปตรงนั้น

ตลาดสัตว์แปลกที่เชียงขวางถือว่าเด็ดมากแล้ว แต่ที่เด็ด ยิ่งกว่า คือตลาดหมาย่าง กลางเมืองฮานอยประเทศเวียดนาม

ดิฉันจับพลัดจับผลูไปเดินเล่ นในตลาดเมืองฮานอย  เผลอแป๊บเดียวหลุดเข้าไปในตลาดขายหมาย่ างของฮานอยอย่ าง ไม่รู้ตัว รอบบริเวณมีแต่แผงขายหมาย่าง มองครั้งแรกดิฉันยังไม่รู้ว่า เป็นหมา เห็นเป็นสัตว์หนังสุกเกรียมสีน้ำตาลเข้ม ย่างมาสะเด็ดน้ำมัน  ควันกรุ่ น เห็นผาดๆ นึกว่ าลูกหมูหัน แต่ อ้าว ดูไปดูมาหน้าสัตว์ บิดเบี้ยวแสนสาหัสที่อ้าปากเหมือนสำรอกอาการเจ็บปวดออกมานั้น มันคือหมาชัดๆ

คนเวียดนามกินหมาด้วยความติดใจในรสชาติและด้วย ความเชื่อว่าเนื้อหมาเป็นเนื้อสัตว์ที่ให้พลังงานความร้อน ทำให้ร่างกาย คนกินอบอุ่นมีพลังมีชีวิตชีวาขึ้นมา ดิฉันเดินงงๆ อยู่กลางตลาด รอบตัว มีแต่ แผงขายหมาย่ างหางแหลมนอนคว่ ำนอนตะแคงกางขาอยู่ เต็ม ไปหมด ตลาดหมาย่างแยกออกมาจากแผงขายของอื่นๆ และดิฉันได้ป ระสบการณ์ว่าขณะกดชัตเตอร์แชะๆ อย่างไม่ยั้งมือนั้นทำความรำคาญ ให้คนซื้อคนขายข้างหน้าเราไม่น้อย ความแปลกตาแปลกใจของเราเป็น เรื่ องไม่ มีมารยาท เพราะเราไปทำเหมือนพวกเขาเป็นสิ่ งประหลาด วันนั้นเล่นเอาแม่ค้าชาวเวียดหน้ามุ่ย ตวาดไล่ส่งดิฉัน ซึ่งคงไม่ใช่รายแรก เพราะน่าจะมีคนต่างชาติไปถ่ายรูปแผงขายหมาย่างของเวียดนามด้วย ความแปลกประหลาดใจมาหลายครั้งแล้ว

คิดว่าคนลาวคนเวียดกินของประหลาด ให้ยิ้มทุกครั้งที่รำลึกถึง แต่เมืองไทยก็ใช่ย่อย เมื่อปลายปีพ.ศ.2553 ช่วงวันดี...คือวันคริสต์มาส ดิฉันได้เดินทางไป จ.สุพรรณบุรี โอ้ พระเจ้า สองข้างทางเต็มไปด้วยแผง ขายหนูนาย่าง นกย่าง งูเห่า เต็มไปหมด เมืองสุพรรณเป็นพื้นที่ทำนา กว้างใหญ่ ไพศาลที่ สุดในประเทศ เมื่ อข้าวเยอะหนูนกก็อุดมมั่ งคั่ ง ไปด้วย หนูนาจะลงกินข้าวจนตัวอ้วนปี๋ ชาวบ้านสุพรรณเลยจับมาย่าง จนเนื้อตัวเป็นสีน้ำตาลทอง หางแหลมชี้ใส่ ถาดบ้าง แขวนขายบ้าง เต็มแผงสองฟากถนน ส่วนนกก็นานาชนิดที่ลงกินข้าว ย่างมาแล้วก็ไม่รู้ว่า เป็นนกเขา นกกวัก หรือนกอะไร งูเห่าก็ถลกหนังแขวนขาย หรืออยากกินดีงูกินเลือดงูสดๆ ก็ปาดคองูชำแหละให้เห็นตรงนั้น แล้วยังมีแผงขายกุ้งก้ามกราม เป็นกุ้งเลี้ยง เอามานึ่งมาเผา หากไม่ชอบใจก็ซื้อเป็นกุ้งสดๆ ไปได้ สองฟากถนนไป-กลับ จ.สุพรรณบุรี ล้วนเต็มไปด้วยนก หนู งู กุ้ง มาถูกปิ้งย่างนอนแผ่อยู่ในถาดเดียวกัน สุมหัวอยู่ใกล้ๆ กัน ทั้งที่ตอนมีชีวิต ส่ำสัตว์เหล่านี้ต่างวิ่งหนี วิ่งไล่ บินหนี ว่ายน้ำหนีกันและกันอย่างจ้าละหวั่น แต่ทุกชนิดจะไปไกลแค่ไหนได้ ถึงคราเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องมานอนเจี๋ยมเจี้ยมเรียงแถวกันอยู่ด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น


ตระเวนเดินทางไปหลายประเทศ ดูสารพัดสัตว์ที่ผู้คนกินกันในแต่ละพื้นที่แสนสนุก และ บันเทิงสายตา ได้เห็นรสนิยมการกินของผู้คนในอุษาคเนย์ ไทใหญ่ ไทย ลาว เวียดนาม  ไม่ได้ห่างกันไกลสักเท่าไหร่เห็นแล้วชักพาให้สติปัญญาหลักแหลมขึ้นได้บ้าง ยามเมื่อมอง  ลอดเบื้องหลังการกินไปพยายามเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนที่สืบสายใยต่อเนื่องกันมา จากการจับหานิยมชมชื่นในนานาส่ำสัตว์เหล่านั้น.