โดย นรินจรา
ฉันเพิ่งเดินทางเข้าพม่าเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2553 เหตุการณ์ที่ยังเป็น ภาพติดตาอยู่จนถึงวันนี้คือ ภาพการจับปากกาครั้งแรกในชีวิตของ เด็กชายชาวพม่าวัยเก้าขวบซึ่งติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ โดยผู้เป็นแม่มีอาชีพขายผัก อยู่ในตลาดได้รับเชื้อจากพ่อซึ่งมีอาชีพเป็นคนขับรถ พ่อของเขาเสียชีวิตไปก่อนหน้า นี้แล้ว ส่วนแม่มีสุขภาพร่างกายทรุดโทรมลงทุกวันจนไม่สามารถไปขายผักในตลาด ได้ เด็กชายจึงอาศัยอยู่กับแม่และย่า
ฉันพบเด็กชายคนนี้ที่ บ้านพักผู้ติดเชื้อเอชไอวีของพรรค เอ็นแอลดี โดยนางอองซานซูจีได้อุทิศเงินรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพ เมื่อปี 2534 ทั้งหมดให้เป็นกองทุนเพื่อสุขภาพและการศึกษาของชาว พม่า ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับเงินบริจาคครั้งนี้ และ หลังจากเธอได้รับอิสรภาพครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เธอ ก็ได้มาเยี่ยมคลินิกแห่งนี้จนทำให้เงินบริจาคหลั่งไหลเข้ามาช่วยเหลือ ผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
พิว พิว ติ่น หญิงวัยกลางคน ผู้ดูแลผู้ป่วยซึ่งเป็นเสมือนแม่ ของผู้ติดเชื้อในบ้านหลังนี้เล่าว่า สถานการณ์ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในพม่า เลวร้ายลงเรื่อยๆ เนื่องจากขาดการรณรงค์ป้องกันอย่างครอบคลุมและ เป็นระบบ กระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐไม่ได้มีแนวทาง รณรงค์หรือสนับสนุนกลุ่มผู้รณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัย ตรงกันข้ามกลับ จับกุมกลุ่มเยาวชนพรรคเอ็นแอลดีที่เดินรณรงค์แจกถุงยางอนามัยตาม ท้องถนนอีกด้วย ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐก็ไม่สามารถรองรับผู้ป่วย กลุ่มนี้ได้ เมื่อไม่มีการรณรงค์ป้องกันและการแจกจ่ายยาให้เพียงพอ ผู้ติดเชื้อจึงมีจำนวนเพิ่ มมากขึ้น การแพร่ กระจายเชื้อสู่ สมาชิกใน ครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น และอัตราการเสียชีวิตรวดเร็วขึ้นเนื่องจากไม่ได้รับ การรักษาอย่างต่อเนื่อง
กรณีเด็กชายวัยเก้าขวบคนนี้ หากดูจากรูปร่างที่เห็นอาจคิดว่า อายุเพียงห้าปี แต่เมื่อสอบถามอายุจริงกลับมีอายุเก้าปีแล้ว และยังไม่เคย ได้ไปโรงเรียนหรือจับดินสอเขียนหนังสือมาก่อนเลยในชีวิต เด็กชายรักแม่ และยายมาก เวลาถามว่ าโตขึ้นอยากเป็นอะไรก็ตอบแบบใสซื่ อว่ า “อยากเปิดร้านน้ำชา” เมื่อถามว่าจะเอาเงินไปทำอะไร เด็กน้อยก็ตอบว่า “อยากเอาไปให้แม่และยาย” เมื่อถามถึงการไปโรงเรียน แววตาของ เด็กน้อยแฝงไว้ด้วยความเศร้า เขาส่ายหน้าและหลบสายตาลง
ในนาทีนั้น ฉันคิดว่าอยากเห็นแววตาที่มีความสุขสักครั้งจาก เล่าสู่กันฟัง โดย นรินจรา เด็กชายคนนี้ จึงยื่นสมุดบันทึกและปากกาให้เด็กชายวาดภาพของฉัน ลงในสมุดเล่มนี้ โดยบอกว่า จะให้เงินเป็นค่าจ้างวาดรูป และบอกเขาว่า เขาสามารถหาเงินได้โดยไม่ต้องไปโรงเรียน ถ้าเขาฝึกวาดรูปบ่อยๆ เขา อาจวาดให้นักท่ องเที่ ยวก็ได้ แวบแรกที่ เห็นเด็กชายได้รับปากกาอยู่ ในมือ เขาทำท่าสงสัยว่าจะใช้นิ้วจับปากกาตรงไหนดี เขาบอกด้วยเสียง เล็กๆ ว่า “ผมไม่เคยจับปากกา คงวาดไม่ได้” ฉันจึงบอกกลับไปว่า อยากให้ลองดู หลังจากนั้นเด็กชายก็ฉายแววศิลปิน เงยหน้าขึ้นมอง “นางแบบ” สลับกับการลากเส้นลงบนกระดาษ ไม่นานนักก็ได้ภาพการ์ตูน ผู้หญิงปรากฎขึ้น เด็กชายส่งสมุดบันทึกพร้อมปากกาคืนให้ ฉันยื่นเงินให้ เป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากได้รับเงินค่าจ้างวาดรูปครั้งแรกในชีวิตแล้ว แววตาของเด็กชายก็เปล่งประกายขึ้นทันที เด็กน้อยบอกลาพร้อมกับวิ่ง นำเงินไปให้แม่และยายในห้องพักผู้ป่วยด้านหลัง
หลังจากนั้น ฉันก็เดินไปพูดคุยกับผู้ป่วยตามห้องต่างๆ ในบ้าน พอได้พบกับเด็กชายศิลปินมือใหม่อีกครั้ง แววตาของเขาก็เปล่งประกาย สดใสแล้วหันไปบอกยายและแม่ว่า ฉันคือคนที่จ้างเขาวาดรูป เมื่อฉันขอ ถ่ายรูปเขารีบชูสองนิ้วให้กล้องและเผยยิ้มกว้างนั่งอยู่บนตักของยาย โดยมีแม่นั่งอยู่ เมื่อฉันถามว่า ต่อไปอยากวาดรูปอีกไหม เด็กชายก็ พยักหน้าแทนคำตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข เนื่องจากอีกไม่กี่วัน จะตรงกับวันเกิดของฉัน ฉันจึงเลือกทำบุญวันเกิดด้วยการซื้อกระดาษ วาดเขียนและสีจำนวนหนึ่งบริจาคให้กับเด็กๆ ที่มาพักฟื้นที่บ้านหลังนี้ เพราะอย่างน้อยเด็กๆ จะได้มีกระดาษและสีไว้ขีดเขียนแก้เหงา
ฉันเชื่อว่ากระดาษวาดเขียนและสีที่ฉันมอบให้น่าจะทำให้เด็กๆ มีความสุขเล็กๆ เมื่อแวะมาที่บ้านหลังนี้ และหวังว่าเด็กชายตัวน้อย คนนี้จะมีความทรงจำดีๆ เก็บไว้ให้แอบอมยิ้มเวลานึกถึงและมีกำลังใจ ต่อสู้กับโรคร้ายต่อไปให้นานที่สุด.