พม่ามองไทย

โดย Nyein Nyein
แปล Numripan

ประเทศพม่า วิชาประวัติศาสตร์ที่ สอนในห้องเรียนนั้นมี เรื่องราวเกี่ยวโยงกับชาติไทยมากมาย ทั้งจากการเชื่อมต่อกัน ระหว่างพรมแดนของทั้งสองประเทศ และบทบาทความสัมพันธ์ของทั้งสอง ประเทศนี้ที่ทำให้ผู้เขียนเริ่มให้ความสนใจในประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่น จนกลายเป็นการสืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ของราชวงศ์ สถาบันกษัตริย์ วัฒนธรรม หรือแม้แต่ชนชาติไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ สั่งสมกลายเป็นความรู้สึกใกล้ชิดที่ผู้เขียนมีต่อประเทศไทยมากยิ่งขึ้น


และแล้วการเดินทางไปยังประเทศไทยครั้งแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2553 ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับ ความตื่นเต้นนับตั้งแต่การไปขอวีซ่า ณ สถานทูตไทยในกรุงย่างกุ้ง ทั้งรูปภาพของสนามบิน สุวรรณภูมิ และอีกหลายๆ เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยภายในสถานทูตนั้นก็ทำให้สัมผัสได้ถึง ภาพบรรยากาศของความเป็นชาติไทยตั้งแต่ก่อนเริ่มออกเดินทางเสียอีก

ในกรุงย่างกุ้ง “ส้มตำ” ถือเป็นอาหารยอดนิยมสำหรับผู้คน ซึ่งมักจะเจอได้มากมายบริเวณ หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ แต่สำหรับส้มตำไทยแล้วเมื่อได้ชิมรสชาติก็จะรู้ว่าส้มตำของทั้งสอง ประเทศนั้นแตกต่ างกัน และสำหรับความเห็นส่ วนตัว ส้มตำไทยออกจะมีรสชาติอร่ อยกว่ า เสียด้วยซ้ำ

ช่วงเย็นวันเดียวกันผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปในย่านตัวเมืองกรุงเทพ พบสถานที่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน พร้อมกับเปิดไฟระยิบระยับสะดุดตา ทันใดนั้นเมื่อสังเกตไปเห็นกลุ่ม ควันที่ลอยฟุ้งออกมาจากอาคาร จึงได้ถามคนนำเที่ยวว่าคืออะไร และเขาตอบว่านั่นเป็นศาล พระพรหม เมื่อได้เข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นกลุ่มควันของธูปเทียนที่ผู้คนเอามาสักการะบูชา ทำให้นึก ไปถึงเรื่องของศาสนาและความเชื่อระหว่างไทยกับพม่าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพราะในกรุง ย่างกุ้งหรือในพม่าก็จะมีวัดที่จัดเตรียมพระพุทธรูปและมุมบูชาตามวันเกิดของผู้ที่มากราบไหว้ แต่ละคน ซึ่งจะมีธูปเทียนของผู้ศรัทธามาจุดไว้ให้เห็นตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

เป็นที่เลื่องลือว่า ศาลพระพรหมแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธ์ิขออะไรได้สมดังปรารถนา ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่รอช้าที่จะกราบไหว้ พร้อมกับกล่าวคำอธิษฐานสั้นๆ ว่า “ขอให้ได้มีโอกาสกลับมา ที่เมืองไทยอีกบ่อยๆ ทีเถอะ” และแล้วคำอธิษฐานก็สมหวังเป็นไปตามคำขอจริงๆ เพราะในเวลา ต่อมาผู้เขียนได้กลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง และได้ไปไกลถึงจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

วันต่อมา ผู้เขียนได้เดินทางไปที่รัฐสภา รู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างมาก โดยเฉพาะ ในเรื่องรัฐสภาของไทยที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปยังที่แห่งนี้ได้ แม้แต่ร้านขายหมูปิ้งก็ยังมีตั้งอยู่ บริเวณฝั่งตรงข้าม น่าเสียดายที่สำหรับประเทศพม่านั้น ไม่มีรัฐสภาเป็นเวลานานนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 ซึ่งถ้าหากเป็นสถานที่อื่นๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะร้านขายของหรือประชาชนคนไหนก็ไม่มี สิทธิ์ที่จะเฉียดเข้าใกล้สถานที่เหล่านี้ได้แม้เพียงก้าวเดียว นอกเสียจากคนที่ทำงานในสถานที่ เหล่านี้เท่านั้น

ในขณะที่ ประเทศไทยมีตัวแทนประชาชนในการประชุมสภาเพื่ อแสดงความคิดเห็น คัดค้านหรือลงคะแนนเสียงได้อย่ างอิสระ เมื่ อครั้งที่ เพื่ อนของผู้เขียนถามถึง ความรู้สึกต่อเสรีภาพเหล่านี้ คำตอบที่นึกในใจคงเป็นเพียงความเสียใจที่มี ให้กับประเทศบ้านเกิดของตัวเองที่ไม่มีโอกาสเช่นนี้ ที่ทำได้ก็แค่เพียงคำอธิษฐานที่หวังจะให้เกิด “ประชาธิปไตย” ในเร็ววัน

อีกวันหนึ่งในระหว่างการเยือนประเทศไทย ผู้เขียนได้มีโอกาสไป เยี่ยมครอบครัวชาวกะเหรี่ยงครอบครัวหนึ่งซึ่งเดิมมีถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่ ในประเทศพม่า แต่ปัจจุบันต้องมาทำงานที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้เขียนได้ รับเชิญให้ไปร่วมมื้ออาหารของครอบครัวนี้ที่ห้องเช่าของพวกเขา แม้ว่า ห้องเช่าหรือบ้านที่พวกเขาอาศัยนั้นจะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียน จดจำ โดยเฉพาะรสชาติของอาหารในวันนั้นที่ จะอยู่ ในความทรงจำ อย่างไม่มีวันลืม

แม้จะมีความรู้สึกยินดีต่อชีวิตครอบครัวชาวกะเหรี่ยงที่ไม่ต้อง เจอกับปัญหาความขัดสนในเรื่องเงิน หรือเรื่องงานอย่างที่เคยเป็นมา มากนัก แต่ในความรู้สึกอีกด้านหนึ่งยังคงเป็นความเสียใจที่ได้ยินว่า พวกเขาคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน ซึ่งเป็นความรู้สึกของคนทุกคนที่ ต้องห่างไกลบ้านเกิดของตนเอง

ไม่ กี่ วันต่ อจากนั้น ผู้เขียนได้ไปหาเพื่ อนที่ เรียนอยู่ ในมหา- วิทยาลัยรังสิต และการที่ได้เห็นนักศึกษามากมายเดินผ่านไปมา ก็พลอย ทำให้รู้สึกสะกิดใจ นึกถึงมหาวิทยาลัยในประเทศบ้านเกิดของตน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยย่างกุ้งใหม่ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก แม้ แต่การเดินทางก็ยังต้องนั่งรถกินเวลากว่าชั่วโมงครึ่ง แตกต่างกับมหา- วิทยาลัยย่างกุ้งเก่าในเขตเมืองที่เคยเป็นมหาวิทยาลัยชื่อเสียงโด่งดัง แต่ ปัจจุบันกลับถูกเปลี่ยนให้เป็นเพียงพิพิธภัณฑ์สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งจะมี คนเยอะเฉพาะในวันที่นักศึกษาหลักสูตรทางไกลได้ใช้ในวันรับปริญญา บัตรเท่านั้น

ในทุกปี มหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ๆ จะมีนักศึกษาที่จบการศึกษา จำนวนมาก แต่ไม่ได้หมายความว่านักศึกษาเหล่านี้จะมีงานทำ ซึ่งก็มัก จะไปลงเอยที่การเรียนภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ หรือบัญชี เพิ่มเติม เพื่อให้ได้งานทำ และเมื่อได้งานทำก็มักจะไม่ใช่ในด้านที่เคยร่ำเรียนมา บางคนเคยเรียนจบหมอ แต่ต้องออกมาเขียนหนังสือ หรือสอนพิเศษ ซึ่งก็ไม่แน่ว่า สาเหตุนี้อาจเกิดจากความชอบส่วนตัวที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ เรียน หรืออาจเป็นเพราะการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ภาพลักษณ์ของความเป็นนักศึกษาในประเทศพม่าที่ไม่ได้รับสิทธิ โอกาส หรือแม้แต่ทัศนคติในอย่างที่นักศึกษาควรจะเป็น

เชื่อว่าวันข้างหน้าอาจจะเป็นไปได้ที่มหาวิทยาลัยในพม่าจะมาคุณภาพ แม้จะไม่มากถึงขนาดระดับโลก แต่อย่างน้อยก็จะต้องทัดเทียม กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย

ในช่ วงเวลาที่ ผู้เขียนได้อยู่ ในกรุงเทพ ผู้เขียนมีโอกาสไปห้าง สรรพสินค้าอย่าง MBK(มาบุญครอง) และประตูน้ำถึง 3 ครั้ง ได้เจอกับ สาวไทใหญ่ สาวกะเหรี่ยง และคนพม่าที่มาซื้อของกัน ซึ่งหลายคนอาจ คาดไม่ถึงว่าคนพม่าทั้งผู้ใหญ่และเด็กจะชอบของที่ผลิตจากประเทศ ไทย มากกว่าของจากประเทศจีน ว่ากันว่าคุณภาพจะดีกว่า โดยเฉพาะ วัยรุ่นที่มักจะนิยมเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือสินค้าแฟชั่นที่ผลิตมาจาก ไทย

ในวันท้ายๆ ก่อนที่จะต้องเดินทางกลับ ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปยัง บริษัทหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และได้ถามคำถามที่อยากถาม มากๆ กับผู้เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นว่า ในประเทศไทย มีอิสระที่จะนำเสนอข่าวให้กับประชาชนหรือไม่ และบรรณาธิการท่านนั้น ก็ให้คำตอบอย่างน่าสนใจว่า “พวกเราก็ยังพยายามอยู่”

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนในการเยือนประเทศไทยนั้น ผู้เขียนมี  โอกาสได้เห็นรถไฟฟ้า BTS รถไฟใต้ดิน และสิ่งอื่นๆ มากมาย ทั้งหมดนี้  ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในประเทศของตน ได้มีโอกาสที่จะ พัฒนาเหมือนอย่างประเทศไทย อยากให้ผู้ที่ต้องมาเผชิญความลำบาก ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตในที่ ที่เคยจากมาอีกครั้ง ตอนกลับจากประเทศไทย ก็ยังคงมีคำถามที่คอย ย้ำคิดกับตนเองว่ า ประเทศไทยที่ มีความเจริญก้าวหน้าได้อย่ างใน ทุกวันนี้เป็นเพราะระบบการปกครอง ผู้ปกครอง หรือเป็นเพราะความ พยายามของประชาชน

ไม่ว่าประเทศไทยจะเจริญเพราะเหตุใดก็ตาม แต่ ผู้เขียนก็ยังรู้สึกเสียใจเมื่ อย้อนกลับมามองประชาชนใน ประเทศของตนเอง และท้ายที่สุดก็ต้องปลอบใจว่าสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นในบ้านของเราได้สักวันนึง ซึ่งคำว่า “สักวันนึง” นี้ คือความหวังสุดท้ายที่ยังคงต้องถูกเก็บไว้ลึกๆ อยู่ในใจของ พวกเราทุกคน


สำหรับสิ่งเหล่านั้น คงจะต้องใช้ความพยายามต่อไปอีกยาวนาน.