ต้าซินไม่ได้เป็นแรงงานต่างด้าวขี้ริ้วขี้เหร่อย่างที่หลายคนวาดภาพล่วงหน้าตามคำโปรยหัวของหนังสือพิมพ์หัวสีและแฟนคลับประวัติศาสตร์คลั่งชาติ ต้าซินเป็นคนผิวขาวเหลือง รูปร่างสัดทัด หน้าตาจัดว่าหล่อ มีเสน่ห์ รสนิยมในการแต่งตัวไม่เป็นรองใคร ทางบ้านของเขาประกอบอาชีพค้าขาย ฐานะปานกลาง พ่อแม่ส่งเสียให้เขาเรียนในมหาวิทยาลัย (University of Dawei) แม้จะจบเพียงชั้นปีที่ 1 เนื่องจากครอบครัวมีปัญหาการเงินในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดมาสมบูรณ์พร้อมกว่าแรงงานต่างด้าวที่มาจากพม่าอีกหลายคนที่ผู้เขียนเคยสัมผัสพูดคุย แล้วด้วยเหตุผลอะไรทำให้เขาตัดสินใจเข้ามาทำงานในเมืองไทย
ยิ่งพูดถึงงานของเขา หลายคนคงอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่างานเช่นนี้มีอยู่ในสารบบที่แรงงานต่างด้าวธรรมดาๆ จะสามารถทำได้ แม้ว่าสำหรับต้าซินแล้ว งานที่เขาทำก็เป็นอาชีพรับจ้างที่น่าพอใจกับสภาพการทำงานในห้องแอร์เย็นฉ่ำ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนหนุ่มสาวออฟฟิศทั่วไป ได้รับค่าแรงวันละ 206 บาทตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ แต่หากเราคิดคำนวณงานที่เขาทำ รวมกับงานของพนักงานประจำที่เป็นเพื่อนของเขาอีก 5 คน ที่สร้างผลกำไรให้บริษัทมากถึงถึงเดือนละกว่าสองร้อยล้านบาท ตลอดจนมีการทาบทามซื้อตัวกันก็เกิดขึ้นแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้มองที่ค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว พวกเขาคำนึงถึงความภักดีต่อองค์กร เขารู้ดีว่าองค์กรที่เขาทำงานเป็นองค์กรแสวงหาผลกำไร แต่ต้องไม่ทำร้ายใครอย่างที่ได้ตกลงพูดคุยกันก่อนหน้า ไม่หลอกลวงลูกค้า ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์เพลงที่เป็นภาษาชาติพันธุ์ของพวกเขา เท่านี้เองคือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจอยู่กับนายจ้างเดิมต่อไป
ต้าซินเป็นคนทวาย เกิดและเติบโตที่หมู่บ้านกาบัค (karbouk) อำเภอไยน์ดายุ (Yaydhyu) จังหวัดทวาย (Dawei) เป็นลูกชายคนที่ 2 ของพ่อแม่ ปีนี้เขาอายุได้ 24 ปีเต็ม เขายอมรับว่า พ่อแม่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเข้ามาหางานทำในเมืองไทย และเมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างชาติพันธุ์พม่ากับทวาย เขายืนยันทันทีว่าแตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะเขาสามารถพูดได้ดีทั้งสองภาษา เพียงแต่ภาษาทวายไม่มีตัวเขียน และทุกวันนี้ก็ได้รับอิทธิพลภาษาพม่าเข้าไปปะปนอยู่มาก ในขณะที่นักวิชาการไทยที่ศึกษาเรื่องพม่าหลายท่านยังเชื่อว่าทวายเป็นชาติพันธุ์เดียวกับพม่า
ทวายเป็นชนชาติเก่าแก่ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักของคนสมัยนี้ ชาวทวายเรียกตัวเองว่า ดะเหว่ (Dawei) ส่วนภาษาอังกฤษเขียนว่า Tavoi ในเมืองไทยไม่สามารถหาตัวเลขประชากรทวายและแม้แต่เชื้อสายได้ง่ายนัก แต่ในประเทศพม่า มีการประมาณการกันว่าน่าจะมีคนทวายอยู่ทั้งสิ้นราว 6 ล้านคน เมื่อได้ยินคำว่า ทวาย บางคนอาจนึกไปถึง “ทะวาย” ผลไม้ที่ติดดอกออกผลนอกฤดูกาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนไทยรู้จักมักคุ้นคนทวายมานาน อย่างน้อยก็ได้ปรากฏชื่อชนชาตินี้ในวรรณคดีเสภาชาวบ้านเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
“ชาวประชามาดูอยู่สลอน เขมรมอญพวกพม่าเสียงหวาเหวย
ญวนกะเหรี่ยงเจ๊กฝรั่งยังไม่เคย ไทยว่าเฮ้ยมึงกล้าก็มาดู
นางทวายอายเอียงเสียงแปร่งแปร่ง แมงขะแวงเฉมะราฉามะหลู
เจ้ามอญว่าอาละกูลทิ้งปูนพลู ลาวบ่ฮู่บ่หันข้อยยั่นจริง...”
อย่างไรก็ตามในเมืองไทยนั้นก็มีชุมชนโบราณของชาวทวายตั้งรกรากกันมาแล้วเกือบสองร้อยปี มิใช่ชาวพม่าเชื่อสายทวายที่เข้ามาทำงานเมืองไทยในฐานะแรงงานต่างด้าวทุกวันนี้ กลุ่มคนที่ว่านี้ปัจจุบันเข้ามาทำงานในเมืองไทยและเช่าห้องแถวอยู่รวมกันมากแถบมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี ส่วนชุมชนทวายเก่าแก่ของเมืองไทยอยู่แถวยานนาวา ชาวทวายกลุ่มนี้อพยพหลบหนีพม่ามาจากเมืองทวายเข้ามายังแผ่นดินไทยเมื่อต้นสมัยรัตนโกสินทร์ แรกเริ่มนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดสระเกศ หรือแถวสี่แยกแม้นศรี (สะพานดำ) ในอดีตเรียกบริเวณนั้นว่า บ้านทวาย ต่อมาได้พระราชทานที่อยู่ใหม่แก่ชาวทวายที่ตำบลคอกควาย ตำบลนี้จึงมีชื่อใหม่ว่า บ้านทวาย และบรรพชนชาวทวายกลุ่มนี้เองที่เป็นผู้สร้างวัดยานนาวาและวัดบรมสถล (วัดดอน)
การเข้ามาทำงานเมืองไทยของต้าซินไม่ได้เกิดจากการกดขี่รีดไถของทหารพม่า นาล่มเพราะฝนแล้งหรือน้ำท่วม เหตุที่เขาตัดสินใจเข้ามาทำงานในเมืองไทยเพราะเขาเห็นว่า ไม่มีงานที่ดี เงินเดือนมากพอ สำหรับส่งเสียทางบ้านเท่ากับการทำงานในเมืองไทย ปัจจุบันพี่น้องของเขาทั้ง 4 คนเข้ามาทำงานอยู่เมืองไทยถึง 3 คน ยกเว้นน้องคนเล็กที่ยังอยู่ดูแลพ่อแม่
ต้าซินเข้ามาอยู่เมืองไทยได้ 3 ปี 3 เดือน ภาษาไทยของเขาสามารถสื่อสารทั่วไปได้ดี เขาเข้าเมืองไทยด้วยวิธีการที่ไม่แตกต่างจากคนอื่น นั่นคือ หลบหนีเข้าเมืองโดยมีนายหน้าคนไทยพาเข้าตามด่านชายแดน เสียค่านายหน้ารายละ 12,000 บาท โดยเข้ามาทางด่านท่าขนุน เมืองกาญจนบุรี แม้จะฟังดูแปลกแตกต่างกว่าเส้นทางปกติที่แรงงานต่างด้าวคนอื่นๆ นิยมใช้กัน แต่เขายืนยันว่าเป็นเส้นทางที่บรรพชนของเขาใช้เดินทางค้าวัวควายมาแต่ดึกดำบรรพ์
เริ่มแรกต้าซินเข้ามาอยู่กับน้าของเขาที่จังหวัดนครปฐม เริ่มงานแรกในโรงงานหน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ทำได้ปีเศษก็ย้ายไปอยู่โรงงานทอผ้า อยู่ได้ไม่ถึงปีเขาก็เห็นว่ารายได้ของเขายังน้อยเกินไป จึงย้ายไปทำงานโรงงานที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร เนื่องจากเป็นจังหวัดปริมณฑลที่เป็นเขตอุตสาหกรรมและเลือกทำในโรงงานขนาดใหญ่ ได้รับค่าแรงสูงกว่าจังหวัดรอบนอก (เป็นรองเฉพาะกรุงเทพฯและสมุทรปราการเพียง 1 บาท) อย่างไรก็ตาม ต้าซินเห็นว่าเขายังน่าจะมีโอกาสได้รับค่าแรงสูงกว่านี้ หลังทำงานที่มหาชัยได้ไม่นานจึงย้ายเข้ากรุงเทพฯ ตามคำชวนของเพื่อน โดยเข้าทำงานอยู่ในบริษัทปัจจุบันซึ่งเขายอมรับว่าพอใจและคิดจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ
ต้าซินเป็นหนึ่งในพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ 6 คน ของบริษัท Orchid ที่รับเหมาช่วงจากบริษัทโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่ (ขอสงวนชื่อ) ส่วนเพื่อนร่วมงานอีก 5 คน ของเขา คือ แรงงานต่างด้าวชาวพม่า มอญ กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ลาว และกัมพูชา (เขมร) หน้าที่ของพวกเขาคือ รับโทรศัพท์ผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกเพลงรอสาย (calling melody) เพลงเรียกเข้า (ring tone) และโหลดเพลง (full song) ไว้ฟัง แน่นอนว่าคุณสมบัติของพวกเขาทั้ง 6 คนก็เพื่อสื่อสารกับคนที่โทรศัพท์เข้ามาด้วยภาษาต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเป็นลูกค้าแรงงานต่างด้าวที่ต้องการโหลดเพลงภาษาของตัวเองลงมือถือ ได้แก่ เพลงภาษาพม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทใหญ่ ลาว และเขมร
เมื่อมีแรงงานต่างด้าวโทรศัพท์ไปยังเครื่องรับของบริษัทที่พวกเขาทั้ง 6 คนทำงานอยู่ จะมีเครื่องรับโทรศัพท์อัตโนมัติแนะนำให้ปฏิบัติตาม เป็นต้นว่า
“กด 1 เมื่อ ต้องการสนทนา (และโหลดเพลง) ภาษาพม่า”
“กด 2 เมื่อ ต้องการสนทนา (และโหลดเพลง) ภาษามอญ”
“กด 3 เมื่อ ต้องการสนทนา (และโหลดเพลง) ภาษาทวาย”
“กด 4 เมื่อ ต้องการสนทนา (และโหลดเพลง) ภาษากะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ)”
เป็นต้น
จากนั้น ต้าซิน และเพื่อนๆ ทั้ง 6 คน ก็จะได้รับการโอนสายโทรศัพท์ เพื่อพูดคุยอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจขั้นตอน ขั้นแรกผู้สมัครแต่ละคนจะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายเดือน 37.45 บาท จากนั้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับโหลดเพลง 21.40 บาท ต่อเพลง (ขอย้ำว่าต่อเพลง) ซึ่งแต่ละคนสามารถโหลดได้สูงสุด 15 เพลงต่อเดือน หากโหลดเต็มอัตรา 15 เพลง จะได้รับโบนัสพิเศษ 1 เพลง
พนักงานแต่ละคนจะต้องรับโทรศัพท์ให้ได้อย่างน้อยวันละ 70 สาย แต่โดยมากพวกเขามักทำได้กว่า 100 สาย หากมีลูกค้าขอโหลดเพลงที่ยังไม่มี พนักงานจะจดเอาไว้เพื่อแจ้งให้นายจ้างติดต่อหามาลง ทำให้บริษัทสามารถผูกใจลูกค้าใหม่ๆ ไว้ได้เสมอ เรื่องการซื้อเพลงนั้น ต้าซินรู้มาว่า ทางบริษัทจะส่งตัวแทนไปซื้อลิขสิทธิ์เพลงมอญ พม่า กะเหรี่ยง ไทใหญ่ ลาว เขมร เพลงละประมาณ 100 ดอลลาร์ ส่วนเพลงไทยและต่างชาติจะแพงกว่านี้หลายเท่า สมัยก่อนมีการนำมาใช้โดยไม่มีการซื้อลิขสิทธิ์ ทำให้นักร้องเหล่านั้นมาร้องเรียนถึงบริษัท ปัจจุบันบริษัทยักษ์ใหญ่จึงมีการเจรจาซื้อขายอย่างถูกต้องกับนักร้องโดยตรง โดยมีข้อแม้ว่าเพลงที่จะซื้อขายกันนี้จะต้องเป็นทำนองเพลงแต่งใหม่หรือทำนองเพลงต่างประเทศ (อันไกลโพ้น) ยกเว้นเพลงไทย เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยมักนำทำนองเพลงไทยยอดนิยมไปใส่เนื้อร้องภาษาของตนจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้บริษัทผู้ให้บริการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
หากเดือนไหนพนักงานอย่างพวกเขาทำยอดได้ดีเกินเป้ามากๆ เจ้านายก็จะพาไปเลี้ยงอาหารตามโรงแรมอย่างดี เท่านั้น ไม่มีพิเศษมากไปกว่านี้ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาภักดีต่อองค์กร ไม่คิดจะย้ายไปทำงานให้บริษัทคู่แข่ง แม้จะได้รับการเสนอรายได้ที่ดีกว่า
ต้าซินระบุว่าแรงงานต่างด้าวในเมืองไทยมีโทรศัพท์มือถือใช้ประมาณ 6 ล้านเครื่อง 99 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีโทรศัพท์จะใช้บริการโหลดเพลงด้วยกันทั้งนั้น ในแต่ละวันจะมีคนโทรศัพท์เข้ามาทั้งสมัครใหม่และยกเลิกบริการ สรุปแล้วก็จะมีคนที่อยู่ในระบบประมาณ 5 ล้าน 5 แสนคนตลอดเวลา คำนวณคร่าวๆ หากมีสมาชิก 5 ล้านคน โหลดเพลงเรียกสาย เพลงเรียกเข้า หรือเพลงเต็มไว้ฟัง คนละ 1 เพลงต่อเดือน แต่ละคนจะต้องเสียเงินคนละ 58.85บาท คิดจากยอดผู้ใช้บริการ 5 ล้านคน รวมแล้วบริษัทจะมีรายได้ 294 ล้านบาทเศษต่อเดือน คิดเอาเองว่า ธุรกิจนี้ทำกำไรมหาศาลเพียงใด
พ่อค้ามักมองเห็นโอกาสทางธุรกิจเช่นนี้เสมอ ต้องยอมรับว่าตลาดกลุ่มนี้กว้างใหญ่เพียงใด คนไกลบ้านจะมีอะไรดีเท่าการกิน การฟัง การห่มคลุมด้วยอาภรณ์ที่ทดแทนความคิดถึงบ้านท่ามกลางเมืองแปลกขนาดใหญ่ที่บางครั้งก็โหดร้ายอย่างเมืองไทย เหตุใดแรงงานต่างด้าวชาติอื่นๆ เช่น อเมริกัน อังกฤษ ออสเตรเลีย แถวถนนข้าวสาร ญี่ปุ่น เกาหลี แถวซอยพัฒพงษ์ ถึงใช้ภาษา กินอาหารในแบบของเขาได้โดยอิสระเสรี แต่แรงงานต่างด้าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับต้องหลบๆ ซ่อนๆ มีเอทีเอ็มภาษาพม่าก็เป็นข่าวว่าพม่าจะยึดเมืองไทย ทั้งที่เอทีเอ็มเครื่องเดียวกันก็มีทั้งภาษาอังกฤษและจีน ทำไมไม่กลัวจีนและอังกฤษจะยึดเมืองไทย คงไม่ได้หมายความถึงแรงงานที่มีหรือไม่มีพาสปอร์ตเท่านั้น อเมริกัน ญี่ปุ่น เกาหลี ที่พาสปอร์ตหมดอายุหนีทำงานอยู่เมืองไทยก็ใช่น้อย ดูเหมือนความแตกต่างน่าจะอยู่ที่ การเป็นแรงงานต่างด้าวราคาถูก และ “อคติ” ทางประวัติศาสตร์มากกว่าเหตุผลอื่น
3 ปีกว่าแล้วที่ต้าซินไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่จากมาครั้งนั้น
“อีก 4-5 ปี คงกลับละครับ มีเงินสักก้อนกลับไปทำนาทำสวน ไม่มาแล้ว อยู่นี่หาเงินได้เยอะกว่าที่บ้านแต่ค่าใช้จ่ายก็สูงมากด้วย... กลับไปเลือกตั้งคงไม่กลับครับ มันกลับยาก ถึงจะมีพาสปอร์ตแล้วแต่ก็ลำบากมาก นอกจากจะให้ไปเลือกตั้งที่สถานทูตได้ แต่ก็นั่นแหละ ถึงให้เลือกตั้งที่สถานทูตได้ยังต้องขอนึกก่อน เพราะไม่มีใครดีพอให้เลือก...”