โดย หมอกเต่หว่า
“ตลอดทั้งชีวิตของคุณ คุณจะไม่มีทางรู้ว่า คุณคือใคร จนกว่าคุณจะได้เห็นโลกจากสายตาของคนอื่น”
คำพูดจากหนังเรื่อง The visitor หนังทุนต่ำแต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในวงการหนัง The visitor เป็นฝีมือการเขียนบทและกำกับโดยผู้กำกับหนุ่มอย่าง โทมัส แม็คคาร์ธี ซึ่งทำให้เขาและ ริชาร์ด เจนคินส์ ที่เป็นนักแสดงนำในเรื่องนี้ สามารถคว้ารางวัลในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยมและนักแสดงนำยอดเยี่ยมมาแล้วจากเทศกาลหนังต่างๆ ริชาร์ด เจนคินส์ ยังเคยถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2009 ที่ผ่านมาอีกด้วย
The visitor เปิดตัวครั้งแรกในปี 2007 เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่เปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง และกำลังหมดอาลัยตายอยากในชีวิตหลังจากที่ภรรยาเสียชีวิตไป แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเขาได้พบกับเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติซึ่งเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และได้สัมผัสวิถีทางชีวิตของคนเหล่านั้น ได้ทำให้ชีวิตของชายคนนี้ กลับมาสดใสได้อีกครั้งในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต และมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากเดิม
ศาสตราจารย์วอลเตอร์ เวลล์ (ริชาร์ด เจนคินส์) อาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่มีสอนแค่วิชาเดียวในหนึ่งสัปดาห์ เขาได้ดำเนินชีวิตไปวันๆ อย่างช้าๆ ไม่มีอะไรที่ดูจะตื่นเต้นและ
หวือหวาสำหรับเขาอีกแล้ว แม้จะพยายามหากิจกรรมต่างๆ ทำ รวมถึงการเรียนเปียโนและเขียนหนังสือ แต่มัน เหมือนเป็นกิจกรรมที่ฆ่าเวลาไม่ให้เขาฟุ้งซ่านและรู้สึกเหงาหลังจากที่สูญเสียภรรยาไปเท่านั้น เขากลายเป็นคนที่ไร้แรงบันดาลใจและขาดความมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด และชีวิตเขาก็คงจะดำเนินอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ หากเขาไม่ได้เดินทางไปนิวยอร์กเพื่อร่วมประชุมแทนเพื่อนร่วมงาน
เขาไม่เคยได้กลับมากรุงนิวยอร์กอีกเลย นับตั้งแต่ที่ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นนักเปียโนชื่อดังเสียชีวิต แต่การกลับมาครั้งนี้ เขาได้พบว่า อพาร์ตเมนต์ของเขากลับมีคนอื่นซึ่งเขาไม่รู้จักอาศัยอยู่ ทาริก (ฮาอาส สเลแมน) ชายชาวซีเรียและ ไซนับ (ดาไน เจเกไซ กูริรา) แฟนสาวชาวเซเนกัลได้เช่าอพาร์ตเมนต์ของวอลเตอร์จากเจ้าของ ตัวปลอมมานานกว่า 2 เดือนแล้ว ทาริกและไซนับยินดีที่จะออกจากอพาร์ตเมนต์ไปแต่โดยดี โดยมีข้อแม้ว่า
วอลเตอร์จะต้องไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับพวกเขา แต่ในเวลาต่อมา วอลเตอร์ได้เปลี่ยนใจให้คู่หนุ่มสาวอยู่ต่อ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ได้ ทาริกเริ่มเห็นในความมีน้ำใจของวอลเตอร์ ในขณะที่ไซนับ แฟนสาวของเขากลับยังไม่ค่อยไว้ใจวอลเตอร์มากนัก
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ทั้งสามคนซึ่งต่างเชื้อชาติ ภาษาและศาสนาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน วอลเตอร์เริ่มได้รู้ว่าทาริกคือนักดนตรีผู้มีพรสวรรค์ในการตีกลองดีเจมเบ้ เครื่องดนตรีพื้นเมืองของชาวแอฟริกัน แม้จะล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จในการเล่นเปียโนมาแล้ว แต่จังหวะของกลองดีเจมเบ้ได้ทำให้วอลเตอร์ไม่อาจละความ
สนใจจากเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้ ทาริกได้สอนการตีกลองดีเจมเบ้ให้กับวอลเตอร์ นั่นจึงทำให้ผู้ชายต่างวัยและแทบจะต่างกันทุกอย่างหากมองดูภายนอก ได้มีโอกาสรู้จักกันมากขึ้นผ่านกลองดีเจมเบ้
จังหวะของกลองดีเจมเบ้ไม่เพียงแต่ทำให้ชีวิตของวอลเตอร์กลับมามีชีวิตชีวาเท่านั้น ทาริก เด็กหนุ่มที่นิสัยร่าเริง มองโลกในแง่ดีก็สามารถทำให้วอลเตอร์กลับมามีรอยยิ้มและเรียกความมั่นใจกลับคืนมาให้กับเขาได้อีกครั้งด้วยเช่นกัน แต่แล้ววันหนึ่ง วอลเตอร์กลับได้เห็น และได้สัมผัสชีวิตในอีกด้าน เมื่อทาริกถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย และหนังได้ดำเนินมาสู่ช่วงดราม่า วอลเตอร์ได้เห็นการดิ้นรนของคนผิดกฎหมายในสหรัฐฯ หลังจากที่ทาริกถูกจับ
“เราไม่ใช่พลเมืองของประเทศนี้ ฉันเองก็เคยถูกจับ ตอนที่เข้ามาในประเทศนี้ในช่วงแรกๆ” ไซนับเริ่มเผยเรื่องราวชีวิตอันขมขื่นของตนให้วอลเตอร์ได้รับรู้บ้าง
วอลเตอร์เองสามารถเลือกที่จะไม่รับรู้และเลือกเดินออกจากวงจรชีวิตคนเหล่านั้นเหมือนคนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯได้ แต่เขาไม่ได้ทำ เช่นนั้น ตรงกันข้าม เขากลับพยายามหาทางช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่าง ทาริก อย่างไม่รังเกียจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ วอลเตอร์เองไม่เคยเปิดใจ เช่นนี้มาก่อน ในขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนต์ของวอลเตอร์ได้มีโอกาสต้อนรับคนแปลกหน้าอีกคนอย่าง โมนา (เฮียม แอบบาสส์) แม่ของทาริก โมนาเป็นหญิงแกร่งที่ต่อสู้ชีวิตมาอย่างยากลำบาก หลังสามีที่มีอาชีพเป็นนักข่าวถูกฆ่าตายในซีเรีย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอพาลูกชายอย่างทาริกมุ่งหน้าสู่สหรัฐฯ เมื่อหลายปีก่อน และเธอเองก็มีสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายไม่ต่างจากลูกชายของเธอ นั่นจึงทำให้เธอไม่สามารถไปหาทาริกในคุกได้ แม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม
ในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้ วอลเตอร์จึงกลายเป็นแสงสว่างเดียวให้กับคนเข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งสามคน ความเห็นอกเห็นใจเอื้ออาทรแก่กันและกันได้ก่อเกิดขึ้นระหว่าง วอลเตอร์ ทาริก โมนา และ ไซนับ และได้นำไปสู่มิตรภาพที่ดีงามระหว่างคนต่างเชื้อชาติที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้ทาริกจะอยู่ในคุก แต่เขายังเฝ้าถามวอลเตอร์ว่า ฝึกซ้อมตีกลองดีเจมเบ้ไปถึงไหนแล้ว ในขณะเดียวกัน เราได้เห็นพ่อม่ายและแม่ม่ายอย่างวอลเตอร์และโมนาเกิดความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน แม้ไม่ สามารถบอกได้ว่า มันคือความรักในเชิงชู้สาวหรือเปล่า แต่สิ่งที่ทั้งสอง สัมผัสได้คือ หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาได้กลับมาแช่มชื่นอีกครั้ง ในขณะที่ไซนับ เองเริ่มรับรู้ถึงน้ำใจของวอลเตอร์และเริ่มเปิดใจมองเขาใหม่อีกครั้งด้วยเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้ง กระบวนการถูกต้องตามกฎหมายก็อาจ มาพร้อมกับความผิดหวังและความเจ็บปวด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ทาริกถูกส่งกลับซีเรีย โดยไม่มีโอกาสกล่าวคำลาต่อคนที่รักและเพื่อนใหม่อย่างวอลเตอร์ ซึ่งทำให้วอลเตอร์เองได้เรียนรู้ว่า ยังมีสิ่งอยุติธรรมอีกมากมายที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา แต่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน หรือเป็นเพราะเขาเองไม่ยอมเปิดใจมองดูมันต่างหาก
ขณะที่โมนาตัดสินใจทิ้งสหรัฐฯ แม้รู้ว่าจะไม่สามารถกลับมาได้ อีกครั้ง และเดินทางกลับซีเรียบ้านเกิดเพื่อไปหาทาริก เรื่องราวเดินทาง มาถึงตอนจบที่ดูเหมือนว่าทุกตัวละครจะไม่สมหวัง ในขณะที่วอลเตอร์ ยังคงดำเนินชีวิตต่อไปตามลำพัง แม้จะต้องหวนกลับเข้าสู่ชีวิตประจำวัน เดิมๆ เหมือนที่เคยเป็น แต่มุมมองและการตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตของวอลเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และแรงบันดาลใจได้ กลับคืนสู่ชีวิตเขาอีกครั้ง หนังปิดตัวด้วยภาพที่วอลเตอร์นั่งตีกลองตรงสถานีรถไฟโดยที่ไม่แคร์สายตาว่าคนที่ผ่านไปมาจะมองอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาริกต้องการทำมากที่สุดแต่ไม่มีโอกาสที่จะทำ นี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อให้เห็นว่า จงกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และเปิดใจ ยอมรับสิ่งต่างๆ บ้าง แม้จะขัดแย้งกับความคิดของคนส่วนใหญ่ก็ตาม
แม้ตอนจบของ The visitor อาจไม่แฮปปี้เอ็นดิ้งเหมือนหนังทั่วไป แต่มันเป็นเรื่องจริงที่สะท้อนถึงชะตากรรมชีวิตของคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ตัวเราเองอาจตั้งคำถามขึ้นมาว่า หากเราเจอสถานการณ์อย่างวอลเตอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เราจะยอมเปิดใจและยอมเปิดประตูบ้านต้อนรับแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัยสงครามจากเพื่อนบ้าน โดยไม่มีอคติกับพวกเขาได้ มากน้อยแค่ไหน?.