โดย โม๋หอม
แผนที่ประเทศพม่าแบบละเอียดยิบที่พกไปพม่าเมื่อช่วงต้นปี 2553 เป็นที่ฮือฮา มากในหมู่นักท่องเที่ยวฝรั่งกลุ่มหนึ่งที่เราพบ ถึงขนาดมาขอยืมไปถ่ายเอกสารกันเลยทีเดียว เรากางกระดาษแผ่น ใหญ่ยักษ์ดูว่า ระยะทางระหว่าง “เมืองบะหม่อ รัฐคะฉิ่น” ที่เราอยู่ในขณะนี้ ห่างจาก “มัณฑะเลย์” ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางต่อไปแค่ไหน มาตราส่วนแผนที่บอกเราว่า ประมาณ 300 กิโลเมตร แม้สายการบิน ท้องถิ่นสามารถพาเราไปชมพระราชวังมัณฑะเลย์ได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่เราเลือกเดินทางด้วยการล่องเรือ ไปตามแม่น้ำอิรวดีที่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ตั๋วเรือระบุเวลาออกบ่าย 3 โมงและเทียบท่าที่มัณฑะเลย์ 3 ทุ่ม
ดูเหมือนคำพูดที่ว่า “ประเทศพม่าทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้เสมอ” จะเป็นจริงอย่างที่เคยอ่านมาในหนังสือ เพราะใครจะเชื่อว่า เวลา 3 ทุ่มที่เขียนไว้บนตั๋ว ไม่ใช่วันนี้ แต่เค้าหมายถึงอีก 2 วันต่างหาก..
ท่าเรือบะหม่อ เรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ที่กำลังจะเดินทางไปยังมัณฑะเลย์จอดสงบนิ่งอยู่ริมฝั่งน้ำอิรวดี เรา จำใจลงเรือไปทั้งยังงงไม่หายว่าทำไม ระยะทาง 300 กิโลเมตรจึงต้องเดินทางกันถึง 3 วัน 2 คืน ในขณะที่ผู้คนต่างทยอยกันขึ้นมายังบริเวณโถงเรือชั้นสอง เมื่อจับจองที่ปูเสื่อกันได้แล้ว ผู้โดยสารท้องถิ่นต่างหยิบเครื่องนอนหมอนผ้าห่มออกมาเตรียมพร้อมทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงบ่ายสี่โมงด้วยซ้ำ แต่ละคนนั่งอยู่ในเสื่อของตัวเองอย่างสงบ เรียบร้อย หลายคนงีบหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ขณะที่นักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดบนเรือเที่ยวนี้ได้ไปรวม กันอยู่บนดาดฟ้าเพื่อชื่นชมและเก็บภาพความงดงามของแม่น้ำอิรวดีกันอย่างคึกคัก
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ท้องเรือจากที่เคยโล่งๆ ขณะนี้เต็มไปด้วยสินค้า ทั้งกระสอบผักผลไม้ ถุงเสื้อผ้า รถมอเตอร์ไซค์ กระบุงไม้ไผ่ หม้อดินเผาที่วางเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่อกระสอบสินค้าใบสุดท้ายถูก ลำเลียงสู่ท้องเรือเป็นที่เรียบร้อย การเดินทางจึงเริ่มขึ้นเสียที
เรือค่อยๆ ล่องผ่านไร่ข้าวโพดเขียวขจีที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่ริมฝั่ง แปลงผัก สวนดอกไม้ กระท่อมริมน้ำ วัวเทียมเกวียนที่หาดูยาก ต่างทยอยสลับกันออกมาอวดโฉมสวยจนลืมเรื่องเวลาเดินทางไปเลย
เรือจอดเทียบท่าเพื่อพักค้างคืนที่หมู่บ้านฉ่วยกู่ (Shwe Ku) ทั้งๆ ที่เพิ่งจะออกจากฝั่งมาแค่ชั่วโมงเดียว ถึงตอนนี้พอเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงใช้เวลาข้ามวันข้ามคืน แม่ค้าตัวเล็กตัวน้อยแบกถาดอาหาร ถาดขนม ขึ้นมาเสนอขายบนเรือ กลิ่นหอมฉุยเริ่มโชยมาจากร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ใต้ท้องเรือ บริเวณโต๊ะนั่งทานข้าว ของร้านมีแต่นักท่องเที่ยวถือเบียร์กันคนละแก้ว ส่วนผู้โดยสารท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัวก็เริ่มแกะเถาปิ่นโตออกมานั่งล้อมวงกินข้าวกันเงียบๆ มื้อแรกบนเรือของเราเป็นแกงไก่ ผัดผัก กับข้าวสวยเม็ดโตๆ ร่วนๆ จากร้านค้าบนฝั่ง
วันรุ่งขึ้นเรือเริ่มออกจากฝั่งแต่เช้า แสงแรกแห่งวันเผยให้ภาพชีวิตที่เคลื่อนไหวของผู้คนบนเรือ ผู้โดยสาร ท้องถิ่นเริ่มขยับลุกจากเสื่อของตัวเอง ชายหนุ่มไปยืนรวมกันตรงท้ายเรือรับแสงแดดอุ่น คุณลุงกับคุณป้าคู่หนึ่งแลกกันสูบบุหรี่ใบตองมวนโต นั่งจิบชาร้อนๆ จากถ้วยใบเดียวกัน ถึงจะอายุอานามไม่น้อยแล้ว แต่ทั้งคู่กลับสวีตกัน กระหนุงกระหนิงไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น อย่างกับคู่ฮันนีมูนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ไม่มีผิด ส่วนสาวๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มนำ ตะนาคาออกมาประแก้ม บางคนใช้แบบก้อนเล็กๆ ผสมน้ำ บ้างก็พกท่อนไม้พร้อมแท่นหินฝนกันบนเรือเลยก็มี แม่บ้านหยิบไหมพรมขึ้นมาถัก คาดว่าเมื่อถึงมัณฑะเลย์คงได้ผ้าพันคอใหม่อย่างน้อยซักผืน
เด็กหญิงวัย 7 ปี ผมสั้นเหมือนเด็กผู้ชาย เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ ที่แก้มสองข้างทาตะนาคาขาวโพลนเป็น หลักฐานว่าล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เราถ่ายรูปเด็กน้อยและยื่นให้เธอดูภาพตัวเองในกล้อง ก่อนจะหัวเราะคิก ๆ
“หนูชื่ออะไรจ๊ะ” เราชวนคุย “นันตาโม่ง” เด็กหญิงบอก เราเห็นเธอตั้งแต่ท่าเรือบะหม่อแล้ว เธอจะ ลงกลางทางที่หมู่บ้านที่ยัวมะ เพราะบ้านอยู่ที่นั่น เธอบอกว่ารู้จักประเทศไทยด้วย แต่พอลองถามว่าพ่อแม่ทำงาน อะไร เธอก็ส่ายหัวแล้วบอกว่า ไม่รู้ๆ ทุกๆ ครั้งที่เราแบ่งขนมปังให้ เธอจะรับไปทันที แกะห่อพลาสติกออก และ กัดกินขนมปังแข็งๆ ชืดๆ เคี้ยวตุ้ยๆ ได้อย่างเอร็ดอร่อยจนหมดเกลี้ยงเพียงไม่กี่อึดใจ ราวกับว่ามันเป็นขนมปังร้อนๆ ที่เพิ่งออกมาจากเตาอบของร้านเบเกอร์รี่ชื่อดังยังไงยังงั้น
บนเรือลำนี้มีเด็กอยู่ประมาณ 4 – 5 คน แต่ไม่มีใครออกมาวิ่งเล่นให้ต้องคอยดุแม้แต่คนเดียว คนที่เดินเพ่นพ่านก็เห็นจะมีแต่ผู้ใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวและบรรดาลูกเรือ
อันที่จริงเรือลำนี้มีลูกเรือทั้งหมดประมาณ 30 คน ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคนไหนเป็นลูกเรือ คนไหนเป็น ผู้โดยสาร เพราะทุกคนนุ่งโสร่งคีบรองเท้าแตะกลมกลืนกันไปหมด ในจำนวนนั้น ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ผิวคม เข้ม รูปร่างสันทัดหวีผมเรียบแปล้ เขาคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือลำนี้ หน้าที่ก็คือคอยสอดส่องดูแล ความสงบเรียบร้อย เราจึงจะเห็นหนุ่มคนนี้เดินวนเวียนอยู่ตามหัวเรือท้ายเรือตลอดทั้งกลางวันกลางคืน
หนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีดีกรีเรียนจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสะกาย แต่ในพม่าแล้ว เรียนสูงก็ไม่ได้ประกันว่าจะได้ทำงานดีๆ ตามไปด้วย เขาจับพลัดจับผลูมาเป็นเจ้าหน้าที่บนเรือ โดยจะลงเรือเดือนเว้นเดือน โดยได้รับเงินเดือนไม่กี่พันจั๊ต ถูกกว่าราคาเสื่อที่เราเพิ่งซื้อมาจากแม่ค้าที่ท่าเรือด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของบ้านเราซึ่งบางจังหวัดอยู่ที่ประมาณวันละ 200 กว่าบาท ยังไม่รวมค่าล่วงเวลา ค่อนข้างต่างกันมาก เรานึกไม่ออกว่าพี่แกอยู่ได้ อย่างไร จึงไม่แปลกที่คนฝั่งนี้จะข้ามไปเป็นแรงงานบ้านเราเป็นล้านๆ แรงงานพม่าในโรงงานบ้านเราที่จบปริญญา อย่างพี่คนนี้ก็คงมีไม่น้อย ข้อมูลจากบทสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค บางครั้งมันก็ทำให้เราเห็นภาพความจริง บางอย่างในประเทศนี้…
“พี่ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า” เรายิงคำถามขำๆ กะให้หายเครียด เพราะคงไม่มีลูกเรือที่ว่ายน้ำไม่เป็นหรอก “ผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ” คำตอบทำให้เราถึงกับอึ้ง ท่าทางไม่ได้ล้อเล่นเสียด้วยสิ แต่ช่วงหน้าแล้งอย่างนี้ ปริมาณน้ำในแม่น้ำอิรวดีค่อนข้างต่ำ ลูกเรือจะเอาไม้ไผ่ลำยาวเป็นไม้บรรทัดจิ้มลงไปในน้ำเพื่อวัดความลึก บางจุด ก็ไม่ต้องจิ้มเพราะมองเห็นเนินทรายใต้น้ำได้ชัดแจ๋ว คราวนี้ถึงเจ้าหน้าที่จะว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ต้องกลัว เพราะใคร ตกลงไปก็ไม่ต้องกลัวจมน้ำ แต่ข้อเสียก็คือทำให้ท้องเรือติดเนินทรายจนต้องดับเครื่องจอดรอจนระดับน้ำขึ้นอยู่หลายครั้ง นั่นจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ล่าช้าไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ ผู้โดยสารจากที่เคยนั่งเรียบร้อยประจำที่อยู่ บนเสื่อ หลายคนขึ้นไปเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือ ในจำนวนนั้นคือครอบครัวจากเมืองทีชิ่น ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เรา ได้แวะพักก่อนหน้านี้
“ฉันยังไม่เคยไปมัณฑะเลย์เลย นี่เป็นครั้งแรก” หญิงสาวหนึ่งในจำนวนนั้นบอกเรา ครอบครัวนี้เดินทาง มาด้วยกันทั้งหมดห้าคน เป็นหญิงล้วน น่าเสียดายที่การเดินทางเข้าเมืองมัณฑะเลย์ครั้งแรกในชีวิตไม่ใช่ การท่องเที่ยวพักผ่อน แต่เพื่อไปส่งแม่ที่กำลังป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล พอถามถึงอาการป่วยของแม่เฒ่า จากลูกสาว เธอเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่ชี้ไปที่ท้อง
ดูจากขนาดของตะนาคาท่อนใหญ่ที่สาวๆ บ้านนี้พกมา คาดว่าแม่เฒ่าอาจต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนาน อยู่พอสมควร นอกจากนี้ สำหรับชาวบ้านแล้ว ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงก็จะรักษากันเองตามสภาพ เพราะการ ไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเดินทางเข้าเมืองและต้องใช้เงินจำนวนมาก ไหนจะค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ของคนที่ไปเฝ้าไข้ และค่าอุปกรณ์การแพทย์ไม่ว่าจะเป็นเข็มฉีดยาและเครื่องมืออื่นๆ ที่ฝ่ายคนไข้ต้องเป็นคนรับผิดชอบซื้อหามาเองทั้งนั้น เพราะอย่างนี้ เราจึงเห็นร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ตามท้องตลาดในเมือง อย่างย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ เคียงข้างกับแผงขายผักกันเลยทีเดียว
หญิงสาวฝนทะนาคาอย่างชำนาญ ก่อนจะละเลงบนแก้มของเพื่อนต่างชาติบนดาดฟ้าอย่างสนุกสนาน โดยมีแม่เฒ่ายืนดูอยู่ไม่ไกล เราถ่ายภาพสาวๆ ไว้เป็นที่ระลึก
วันเวลาล่วงเข้าวันที่สี่ นักท่องเที่ยวหลายคนยังไม่หายตื่นเต้นกับความงดงามของแม่น้ำอิรวดีและ บันทึกภาพจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เรือเทียบท่า สินค้าถูกลำเลียงขึ้นฝั่งมัณฑะเลย์ทีละชิ้น ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันไปตามจุดหมายปลายทางของตน ความว่างเปล่ากลับคืนสู่เรือลำนี้อีกครั้ง
สี่วันบนเรืออาจทำให้เหลือเวลาไม่มากสำหรับเก็บภาพสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่จะว่าไป แล้ว ถึงจะมีเวลาเป็นเดือนและกลับบ้านไปพร้อมบรรดาภาพถ่าย “สถานที่สำคัญ รอยยิ้มของเด็กน้อย หญิงสาว กับ ตะนาคา ชายหนุ่มกับโสร่งปลิวว่อน” เป็นพันๆ รูป แต่การได้รับรู้เรื่องราวชีวิตที่อยู่เบื้องหลังแววตาเหล่านั้นเพียง แค่วันเดียว เราก็อาจได้เรียนรู้สิ่งที่ี่ไม่มีอยู่ในคู่มือท่องเที่ยวซึ่งบรรจุความเป็นพม่าได้แค่ผิวเผินก็เป็นได้.