ผู้แต่ง วัน จากนิตยสาร Teen Magazine
ฉบับที่ 78 เมษายน 2552
แปลโดย Numripan
ดูหนึ่งผ่านพ้นไป ในไม่ช้า ลมเย็น ๆ ของหน้าหนาว กลับมาเยือนอีกครั้ง แล้วก็พัดผ่านไปอย่างเชื่องช้า ใบไม้ที่โดนลมหนาวพัดผ่านเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง และอีกไม่นานมันก็คงร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ค่ำคืนของ หน้าหนาวเช่นนี้เต็มไปด้วยหมอกปกคลุม ไฟฟ้าสองข้าง ทางส่องสว่างกระพริบเป็นจังหวะภายใต้แสงเหลืองนวล ของแสงไฟ
ฤดูหนึ่งผ่านพ้นไป ในไม่ช้า ลมเย็น ๆ ของหน้าหนาวกลับมาเยือน อีกครั้ง แล้วก็พัดผ่านไปอย่างเชื่องช้า ใบไม้ที่โดนลมหนาวพัดผ่านเริ่มเปลี่ยน เป็นสีเหลืองทอง และอีกไม่นานมัน ก็คงร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ค่ำคืนของ หน้าหนาวเช่นนี้เต็มไปด้วยหมอก ปกคลุม ไฟฟ้าสองข้างทางส่องสว่าง กระพริบเป็นจังหวะภายใต้แสงเหลือง นวลของแสงไฟ ขี้เหล้าคนหนึ่งหยิบ รองเท้าเหน็บเอาไว้ที่เอวพร้อมกับก้ม หน้าเดินโซซัดโซเซต่อไป ท่าทางของเขา ดูไม่สนอะไรสักอย่างในโลกใบนี้ เหมือน เขาจะบอกกับตัวเองว่า อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด แต่ในขณะเดียวกัน ลมหนาว ที่ไร้มลทินในตอนแรก เมื่อพัดผ่านไป กลับปนเปื้อนไปด้วยละอองฝุ่นและ เม็ดทราย
“พ่อ เงินเดือนของพวกหนูโดนหัก อีกห้าเปอร์เซ็นต์” เสียงของลูกสาวพูดผ่านโทรศัพท์ ทางไกลจากต่างประเทศ ผมเดาออกว่าเธอคงมีสีหน้าไม่ดีนัก เพิ่งเห็นข่าวเศรษฐกิจโลก ตกต่ำได้ไม่นาน ผลกระทบกำลังมาถึง ครอบครัวเราแล้วหรือนี่ ผมคิดขึ้นในใจ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังไม่ดีขึ้น
“พ่อ พี่นินได้เงินเดือนชดเชย ล่วงหน้าหนึ่งเดือนและถูกเลิกจ้าง ไปแล้ว”
ครั้งนี้ น้ำเสียงลูกสาวของผมไม่ค่อยดี ดูเหมือนผลกระทบจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นาน ลูกก็โทรมาบอกอีกว่า
“เจ้านายเรียกประชุมด่วน และ บอกว่าพนักงานที่เป็นชาวต่างชาติทุกคนต้องถูกเลิกจ้างงาน ลูกต้องก้มหัวฟังคำสั่ง ของเจ้านายอย่างเดียวโดยที่ทำอะไรไม่ได้”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจหนักขึ้น แม้ ลูกสาวของผมจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งใน ที่ทำงาน แต่ดูเหมือนว่า เธอเองก็ยังต้องรอ คำตอบด้วยใจระทึกว่าจะถูกเลิกจ้างด้วย หรือไม่ในอนาคต ไม่น่าเชื่อว่าผลกระทบจาก เศรษฐกิจจะมาถึงเรารวดเร็วเหลือเกิน ผมคิดเรื่องเดิมๆ อีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้น เจ้านาย ของลูกออกมาประกาศอีกว่า เวลาทำงาน ของพนักงานทุกคนจะเหลือแค่สัปดาห์ละสี่วันเท่านั้น และพนักงานทุกคนยังต้องถูกหัก เงินอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนทั้งหมด การที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ จึงทำให้การใช้ ชีวิตของทุกคนต้องลำบากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ลูกสาวได้พยายามปลอบใจ ผมและภรรยาว่า
“อย่าห่วงหนูเลยนะ วิธีนี้ ถ้าทำ ไม่ได้ หนูก็จะหาวิธีอื่น หนูจะเลี้ยงพ่อ กับแม่เอง”
แม้คำพูดของลูกจะทำให้ผมรู้ว่า เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่ลูกจะรู้ไหมว่า คำพูดเหล่านั้นทำให้หัวใจของพ่อแม่ต้อง เจ็บปวดแค่ไหน อันที่จริง ไม่ใช่ว่าลูกต้องทำ เพื่อพ่อแม่อย่างเดียว แต่ควรทำเพื่อปัจจัยพื้นฐานของการยืนอยู่บนโลกนี้อย่าง อะลุ่มอล่วยด้วย ผมไม่สบายใจเลยที่เห็น ชีวิตของลูกต้องลงทุนทำเพื่อพ่อแม่เท่านั้น
“วันนี้เป็นอะไรไม่รู้ หิวจังเลย กินข้าวกันเลยดีไหม” ภรรยาพูดขึ้นหลังจากที่ซักผ้าเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเงยหน้ามองไปที่เธอ แล้วตอบกลับเธอว่า “อืม ...อืม กินก็ได้”
ผมและภรรยาอยู่กันแค่สองคน เธอ อยากกินอะไรผมก็ต้องกินเป็นเพื่อนเธอ เธอโผล่ออกมาอีกครั้งพร้อมกับทาตะนาคา เต็มใบหน้า ก่อนที่เราทั้งสองจะนั่งลงอย่างช้าๆ ที่โต๊ะกินข้าว วันนี้มีต้มผักกาด น้ำพริก กะปิและผักลวก อาหารยังร้อนๆ อยู่เพราะ เพิ่งยกมาเสิร์ฟ ผมกำลังจะเริ่มเคี้ยวข้าว คำแรก พลันภรรยาผมก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนนี้ลูกสาวของคุณกินข้าว หรือยังก็ไม่รู้”
เธอคงคิดถึงลูกมาก ความหม่นหมอง เริ่มแสดงออกชัดเจนบนใบหน้าภรรยาของผม นี่อาจเป็นคำพูดธรรมดาของภรรยาผม แต่สำหรับผมนั้น มันน่าสมเพชเหลือเกิน เพราะผมรู้ดีว่า การที่ผมและภรรยามีกินมีใช้ อย่างไม่ต้องกังวลอะไรนั้น มันคือความ ตั้งอกตั้งใจทำงานหาเงินของลูกสาวผม ผมรู้ดีว่า ผมเป็นพ่อที่หาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ มันทำให้มือของผมยิ่งสั่นตอนที่ตักอาหาร เข้าปาก ผมพยายามเก็บอาการ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ภรรยารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร
ลมหนาวจากตอนบนพัดผ่านมา พร้อมกับไอหมอกและละอองฝุ่น ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ผมรีบหยิบโทรศัพท์ ขึ้นมาแนบหูทันที
“พ่อ...หนูเอง...คือตอนนี้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะพ่อ หนูได้ปรึกษากับเพื่อน อีกหกคนว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี และ พวกหนูก็ตกลงกันว่า จะทำทุกอย่างเท่าที่ ทำได้ เวลาว่างพวกหนูจะหางานทำ เป็นกะ และถ้าสมมุติว่าพวกหนูทั้งหกคน โดนไล่ออกจากงาน พวกเราก็จะทำอาชีพ สักอย่างหนึ่ง เราคุยกันแล้วว่าจะทำ อาชีพอะไร .... เวลาเราลงน้ำ อาบน้ำ อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องจับปลาให้ได้ด้วย ใช่มั้ยคะพ่อ” สิ้นเสียงของลูกสาว มันทำให้ ใจของผม....
“ถ้าลูกต้องร้องไห้เพราะผิดหวัง กับเรื่องนี้ ต่อไปลูกก็คงต้องร้องไห้เพราะ ผิดหวังกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตอีกเป็นแน่” ผมอดคิดขึ้นในใจไม่ได้
อย่างไรก็แล้วแต่ อุดมการณ์ของลูก และเพื่อนๆ ของเธอคงจะไม่มีทางสิ้นสุด เป็นแน่ ผมขอปรบมือให้กับพวกเขาที่สู้ด้วยความแกร่งกล้าและไม่ย่อท้อ แม้ไม้พาย จะหัก พวกเขาก็ยอมใช้มือพายเรือ สู้กับ ความไม่แน่นอนของโลกและผลกระทบของเศรษฐกิจ ขอให้พวกเขาได้ยินเสียงปรบมือ ได้รับรู้ แล้วก็....
“อ้อ...พวกเขาไม่ใช่คนขี้เหล้านี่นา” ขอให้พวกเขาได้บินขึ้นบนท้องฟ้า ให้ไกลแสนไกลด้วยเถอะ