15 ธันวาคม 2553--“ทำยังไงดีล่ะ ตอนนี้ เราไม่สามารถติดต่อคนที่อยู่ข้างในพม่าเพื่อ ยืนยันวันเวลาสัมภาษณ์อองซาน ซูจีได้เลย ถ้า อย่ างงั้นเราคงต้องลองเสี่ ยงเข้าไปที่ พรรค เอ็นแอลดีด้วยตนเอง” ผู้เขียนเริ่มปรึกษาหารือกับ เจ้าหน้าที่ อีกคนหนึ่ งที่ จะร่ วมเดินทางเข้าพม่ า ด้วยกัน
ก่ อนหน้านี้ประมาณหนึ่ งเดือน เพื่ อนชาวพม่ าชื่ อ “มินเส่ง” ซึ่ งอาศัยอยู่ ที่ ประเทศอเมริกาได้ช่วยติดต่ออองซาน ซูจี หรือ “ดอว์ซู”(ป้าซู) (ชื่อที่ชาวพม่านิยมเรียกขานเพื่อให้เกียรติเธอ) ผ่ านทางโทรศัพท์ โดยมินเส่ งช่ วยให้ข้อมูลเกี่ ยวกับการทำงานของนิตยสารสาละวินโพสต์ว่ าได้นำเสนอข้อมูลเพื่ อนำไปสู่ ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจประชาชนจากประเทศพม่าตลอดแปดปีที่ผ่านมา หลังจากได้พูดคุยกับดอว์ซู มินเส่งแจ้งกลับมาหาผู้เขียนว่าดอว์ซูตกลงที่จะให้สัมภาษณ์และขอให้ผู้เขียนติดต่อนัดหมายโฆษกของพรรคซึ่งเป็นคนจัดตารางนัดหมายให้กับดอว์ซู โดยได้ให้ทั้งเบอร์โทรศัพท์มือถือและอีเมล์เพื่อให้ผู้เขียนติดต่อด้วยตนเอง
แต่ทว่า การติดต่อทั้งสองทางไม่ประสบความสำเร็จ เพราะโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงินถูกตัดสัญญาณตั้งแต่หลังจากเลือกตั้ง 7 พฤศจิกายน 2553 ส่วนอีเมล์ไม่มีใครตอบกลับมาเลยเมื่อไม่สามารถติดต่อคนสนิทของดอว์ซูได้ เราจึงตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินสายการบินแอร์บากันจากเชียงใหม่สู่ย่างกุ้ง ซึ่งมีตารางบินสัปดาห์ละสองวัน คือ วันพฤหัสสบดีและวันอาทิตย์ เราซื้อตั๋วไปในวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคมและตั๋วกลับในวันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2553 นั่นหมายความว่าเรามีเวลา 5 วันสำหรับการติดต่อเพื่อสัมภาษณ์บุคคลสำคัญครั้งน
ก่อนวันเดินทางเพียงสามวัน พวกเราต่างรู้สึกกังวลกับการติดต่อนัดหมายครั้งสำคัญครั้งนี้ เนื่องจากหนทางเดียวที่เราจะพบคนสนิทของดอว์ซูได้คือการเดินทางเข้าไปที่พรรคเอ็น-แอลดีโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่าหากโชคดี เราคงได้พบคนสนิทของดอว์ซูเพื่อนัดหมายการสัมภาษณ์ต่อไป หากโชคไม่เข้าข้าง เราก็จะต้องวนเวียนเข้าออกที่ทำการพรรคจนกว่าจะได้พบคนสนิทของดอว์ซู ความไม่แน่นอนทำให้การเตรียมตัวเดินทางต้องเตรียมแผนสำรองไว้หลายแผน
หลังจากเราเตรียมแผนสำรองต่างๆ เอาไว้แล้ว เราก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการทำงาน“แผนหลัก” ซึ่งคือการสัมภาษณ์ดอว์ซู หากเราได้สัมภาษณ์ดอว์ซู สิ่งสำคัญ คือ การเก็บรักษาข้อมูลสัมภาษณ์เพื่อนำกลับมาเผยแพร่ที่ประเทศไทยให้ได้ พวกเราเลือกใช้กล้องถ่ายวีดีโอและภาพนิ่งขนาดเล็กเหมือนกับนักท่ องเที่ ยวทั่ วไปมากกว่ านำขาตั้งกล้องและกล้องขนาดใหญ่ เหมือนช่างภาพมืออาชีพไปด้วย เพราะเราเห็นตรงกันว่า “ความปลอดภัยต้องมาก่อน” หากใครไม่เคยเข้าไปทำงานสื่อมวลชนในพม่าอาจไม่เข้าใจและคิดว่าพวกเราตื่นตระหนกวิตกจริตมากเกินไป...แต่สำหรับพวกเรา เลือกที่จะเป็นพวกวิตกจริตมากกว่าปล่อยให้ตัวเองและงานสำคัญตกอยู่ในความเสี่ยง
16 ธันวาคม 2553
“มีอะไรให้ช่วยไหม?” คำถามจากเพื่อนชาวพม่าที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนคนนี้เคยประสบอุบัติเหตุรถชนจนขาหักโดยนักศึกษาไทยเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้น พวกเรา-ทีมงานสาละวินโพสต์แสดงน้ำใจช่วยดูแลในเรื่องต่างๆ จนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาจนถึงวันนี้
“ตอนนี้เรามีปัญหาติดต่อคนสนิทของดอว์ซูไม่ได้ เราต้องการใครสักคนที่กำลังจะเดินทางกลับเข้าไปในพม่าช่วยแจ้งเรื่องการเดินทางของเราครั้งนี้กับคนสนิทดอว์ซูเพื่อนัดสัมภาษณ์”
หลังจากรับรู้ปัญหา เพื่อนคนนี้ก็วิ่งเต้นโทรหาบรรดาเพื่อนฝูงชาวพม่าที่อยู่ในเชียงใหม่จนได้พบว่า สามีภรรยาชาวพม่าคู่หนึ่งกำลังจะกลับย่างกุ้งในเย็นวันนี้ เขาแนะนำให้พวกเราเดินทางไปพบกับเพื่อนชาวพม่าคู่นี้โดยให้รีบขับรถไปรับทั้งสองคนจากโรงแรมไปส่งที่สนามบินทันที
พวกเราทำตามคำแนะนำและได้พบกับคู่สามีภรรยาชาวพม่าซึ่งกลายเป็นโชคสองชั้นเมื่อทั้งคู่เป็น “เพื่อนสนิท” กับบุตรสาวโฆษกพรรคเอ็นแอลดี คนที่เราต้องการติดต่ออยู่พอดีเราได้ขอความช่วยเหลือจากสองสามีภรรยาให้นัดหมายบุตรสาวโฆษกพรรคฯ เพื่อทานอาหารเย็นร่วมกับเราในค่ำวันที่ 19 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่เราเดินทางไปถึงย่างกุ้ง
“หากโชคดี เราคงได้สัมภาษณ์ดอว์ซู” ฉันบอกกับทีมงานอย่างมีความหวัง
19 ธันวาคม 2553
ค่ำวันนั้น พวกเรา-ทีมงานสาละวินโพสต์และผู้สื่อข่าวทีวีไทยเดินทางถึงกรุงย่างกุ้งโดยยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
โชคเริ่มเข้าข้างเราเมื่อสองสามีภรรยาสามารถนัดหมายบุตรสาวคนสนิทดอว์ซูมาทานอาหารเย็นกับเราได้สำเร็จ และโชคดีไปกว่านั้น คือ โซ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นบุตรสาวคนสนิทดอว์ซูได้ช่วยเหลือเราในการติดต่อนัดหมายบิดาให้กับเราในเช้าวันรุ่งขึ้น คืนนั้น พวกเราตื่นเต้นกันมากเพราะการได้พบกันคนสนิทดอว์ซูหมายความว่า เราจะได้รู้คำตอบว่าการนัดสัมภาษณ์จะมีความเป็นไปได้หรือไม่
ระหว่างการทานอาหารเย็นค่ำนั้น โซแนะนำเราหลายเรื่องเพื่อเตรียมตัวพบพ่อของเธอโดยเฉพาะเรื่องการถูกติดตามจากสันติบาลพม่า
“ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าเธอมาพบฉันหรือพ่อของฉัน พวกเขาจะตามมาด้วยเสมอเพราะ มันเป็นหน้าที่ของเขา” เราไม่แน่ใจว่า สิ่งที่โซบอกเพื่อให้เราสบายใจหรือให้เรา “ทำใจ” กันแน่ เพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาที โต๊ะข้างๆ เราก็เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์นุ่งโสร่งประมาณ 5 คนนั่งจ้องพวกเราตลอดเวลา
“เนื่องจากเธอขอวีซ่านักท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่ พวกเขาจะไม่ตรวจสอบเธอจนกว่าจะมีหลักฐานว่ าเธอไม่ ใช่ นักท่ องเที่ ยวแต่ เป็นนักข่ าว เพราะฉะนั้นเธอต้องทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวและเก็บหลักฐานที่ยืนยันว่าเธอเป็นนักข่าวเอาไว้ให้มิดชิด อีกอย่างหนึ่งคือหลังจากเธอได้พบพ่อของฉันในวันพรุ่งนี้แล้ว เธออาจถูกติดตามสักระยะหนึ่ง เพราะพ่อของฉันเป็นคนจัดตารางสัมภาษณ์นักข่าว รัฐบาลพม่ารู้ดีว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มาพบพ่อคือนักข่าว หากเธอได้รับนัดหมายสัมภาษณ์ดอว์ซูแล้ว เธอควรพยายามทำตัวให้เหมือนนักท่องเที่ยวจนกว่าจะได้พบดอว์ซู และรีบเดินทางออกนอกประเทศพม่าในวันเดียวกันนั้นเลยจะเป็นการปลอดภัยที่สุด”
หลังจากได้รับคำแนะนำจากเพื่อนใหม่ เราจึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการทำงานตลอดเวลาที่อยู่ในพม่า รวมทั้งเฝ้าลุ้นว่า สิ่งที่เรารอคอยจะสมหวังหรือไม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น...
20 ธันวาคม 2553
สายของวันนี้ เรามีนัดสำคัญกับพ่อของโซที่ร้านกาแฟแบบบริการตนเอง (เหมือนกับร้านฟาสต์ฟู้ดในบ้านเรา) พอไปถึง พ่อของโซนั่งทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้านเพื่อหลบสายตาคนที่เดินผ่านไปมา ไม่กี่นาทีต่อมา โต๊ะใกล้ๆ กันก็เริ่มมีชายฉกรรจ์สามคนใส่แว่นตาดำทยอยกันเข้ามานั่งโต๊ะเดียวกัน แล้วทั้งสามคนก็จ้องมองมาที่โต๊ะของเรา หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนที่สี่ก็เดินเข้ามานั่งโต๊ะที่ใกล้เรามากขึ้นพร้อมกับหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาทำทีเป็นถ่ายภาพร้านซึ่งรวมถึงภาพพวกเรา เมื่อนึกถึงคำพูดของโซเมื่อคืน พวกเราก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไร เพราะได้“ทำใจ” เอาไว้แล้ว บทสนทนาของเรากับพ่อของโซจึงดำเนินไปอย่าง “รู้กัน” คือ เมื่อพูดเรื่องสำคัญเราจะพูดเบาๆ และเมื่อพูดเรื่องทั่วไป เราจะหัวเราะกันออกมาดังๆ ราวกับนั่งเม้าท์กันทั่วไป
หลังจากแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าสู่คำถามเป้าหมาย คือ ความเป็นไปได้ในการนัดสัมภาษณ์ดอว์ซูภายในวันที่ 23 ธันวาคม และแล้วคำตอบที่เรารอคอยก็มาถึง
“ดอว์ซูตกลงจะให้พวกคุณสัมภาษณ์ในวันที่ 22 ธันวาคม ช่วงเช้าที่พรรคเอ็นแอลดี”เสียงจากคนสนิทดอว์ซูทำให้พวกเรายิ้มออกมาในทันที แต่สิ่งที่เรากังวลใจต่อมาคือ ตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับเชียงใหม่ของเรา คือ วันที่ 23 ธันวาคม เราจึงสอบถามปรึกษาถึงความปลอดภัยหากอยู่ในประเทศพม่าต่ออีกหนึ่งวัน
“หากเป็นไปได้ ผมแนะนำให้คุณกลับเมืองไทยในวันเดียวกันเลย ถ้าคุณไม่อยากนำภาพถ่ายและวิดีโอสัมภาษณ์ติดตัวไปด้วย เพราะอาจเป็นหลักฐานว่าคุณเป็นนักข่าว ผมจะหาทางส่งตามไปให้คุณที่เมืองไทยทีหลัง”
คำตอบจากผู้อาวุโสของพรรคทำให้เราตัดสินใจทิ้งตั๋วกลับเชียงใหม่วันที่ 23 ธ.ค. และซื้อตั๋วกลับไปลงสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 22 ธันวาคมแทน ด้วยเพราะเราต้องการนำข้อมูลกลับไปเผยแพร่ให้เร็วที่สุด เราจึงเลือกเสี่ยงนำข้อมูลติดตัวกลับไปแทนการรอคอยข้อมูลที่จะถูกส่งตามมาทีหลัง แต่นั่นก็หมายความว่า พวกเราต้องหาทาง “ซ่อน” หลักฐานให้มิดชิดที่สุด
21 ธันวาคม 2553
คืนนี้เป็นคืนที่เราตื่นเต้นมากที่สุด เพราะวันพรุ่งนี้เราจะได้พบกับคนสำคัญที่เราเคยเห็นหน้าตามสื่อต่างๆ ทั่วโลก และสิ่งสำคัญที่พวกเราต้องเตรียมความพร้อม คือ ประเด็นการสัมภาษณ์เพราะเวลาทุกนาทีมีค่า หากเราเตรียมคำถามไม่ดี ข้อมูลที่จะนำไปเผยแพร่ก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆ นอกจากนี้ เรายังต้องเตรียมการสำหรับการรักษาข้อมูลเมมโมรีการ์ดหลังการสัมภาษณ์เอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย รวมทั้งวางแผนการเดินทางโดยรถแท็กซี่ของบุคคลที่เราไว้ใจได้เพื่อพาเราออกจากพรรคเอ็นแอลดีมุ่งสู่สนามบินอย่างปลอดภัย
กว่าพวกเราจะได้หลับตาลงก็เป็นเวลาตีสองของวันใหม่
22 ธันวาคม 2553
เวลาตีสี่.....หลังจากนอนหลับได้เพียงสองชั่วโมง“ตื่นเถอะเช้าแล้ว” ผู้เขียนลุกขึ้นมาปลุกทุกคนด้วยกังวลใจว่ าประเด็นคำถามยังไม่เรียบร้อยก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์ ทุกคนงัวเงียขึ้นมาล้างหน้าแล้วนั่งเตรียมคำถามกันต่อตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง
หลังจากเตรียมคำถามเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็อาบน้ำแต่ งตัวและเก็บกระเป๋าเพื่ อเดินทางกลับเมืองไทยในช่วงเย็น โดยเรานำกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถแท็กซี่ของคนที่เราไว้ใจได้(เป็นพี่ชายของเพื่อนชาวพม่า) และเดินทางไปถึงก่อนเวลานัดสัมภาษณ์ประมาณครึ่งชั่วโมง
พวกเราเลือกแต่งตัวสไตล์สาวพม่าด้วยการนุ่งซิ่นผ้าพื้นเมือง เพราะต้องการให้ดูกลมกลืนกับชาวพม่าที่เดินเข้าออกพรรคเอ็นแอลดีเพื่อไม่ให้หน่วยข่าวกรองพม่าที่นั่งอยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามสังเกตเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักข่าวหลังจากเดินออกจากพรรค สิ่งที่น่าขำก็คือพวกเราแต่ งกายเหมือนชาวพม่ ามากจนแม้กระทั่ งดอว์ซูเองยังคิดว่ าเราเป็นชาวพม่ าเลยด้วยซ้ำ !
บรรยากาศภายในพรรคเอ็นแอลดีวันนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เข้ามาเตรียมงานประชุม ใหญ่ของพรรคในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งนักท่องเที่ยวและนักข่าวที่มารอพบดอว์ซู พอเวลาสิบโมงกว่า บรรยากาศภายในพรรคก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเดินไปยืนรอที่หน้าประตูและเปิดทางเดินตรง กลางไว้ นั่นหมายความว่า คนสำคัญที่เรารอคอยกำลังเดินทางมาถึง พวกเราเองก็ต่างแยกย้ายกันหามุมถ่ายภาพที่ใกล้ที่สุด
ภาพแรกที่ดอว์ซูเดินเข้ามาในพรรค คือ ผู้หญิงที่กระฉับกระเฉงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และหยุดทักผู้คนที่มาจากต่างถิ่นอย่างเป็นกันเอง หลังจากนั้นเธอจึงเดินขึ้นไปยังห้องทำงานชั้น สองเพื่อให้สัมภาษณ์นักข่าวที่มารอคิวการสัมภาษณ์
ระหว่างรอคอยการสัมภาษณ์ พวกเรานั่งจินตนาการไปต่างๆ นานา ว่า เธอคงจะนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน แล้วให้พวกนักข่าวนั่งสัมภาษณ์อยู่อีกด้านหนึ่งเหมือนกับที่เราเห็นในข่าวบ่อยๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราช่างผิดความคาดหมายเสียจริงๆ เพราะหลังจากเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป เราก็พบดอว์ซูเดินเข้ามาหาแล้วจับมือของเราทักทายและพาไปนั่งข้างๆ ด้วยท่าทางเป็นกันเอง
พวกเราทักทายและแนะนำตัวเป็นภาษาพม่าจนทำให้เธอคิดว่าเราเป็นชาวพม่า ความเป็นกันเองที่ดอว์ซูเริ่มต้นส่งผลให้พวกเราคลายความตื่นเต้นลงไปมากจนทำให้รู้สึกเหมือนมาพบญาติสนิทคนหนึ่ง ก่อนการสัมภาษณ์ เรานำนิตยสารสารคดีฉบับเดือนกันยายน 2552 ซึ่งมินเส่งเพื่อนชาวพม่าเขียนประวัติชีวิตของดอว์ซูมอบให้เธอ และขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวจากประเทศไทยเข้าสัมภาษณ์ในวันนี้ หลังจากนั้นดอว์ซูก็ตอบกลับมาว่า
“ฉันคิดว่าประเทศไทยมีความสำคัญมากสำหรับพวกเรา พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันทุกวันนี้มีแรงงาน ผู้ลี้ภัย อยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ฉันคิดว่าเราควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
พวกเราจึงเริ่มต้นบทสนทนาต่อไปถึงความสัมพันธ์ไทยพม่าว่าไม่ควรคิดเรื่องเป็นศัตรูกันเหมือนในอดีต ซึ่งดอว์ซูก็เห็นเช่นเดียวกัน
“ฉันเห็นด้วยว่า ไทยและพม่าควรเป็นเพื่อนกันและควรเลิกคิดเรื่องศัตรู เพราะนั่น เป็นเรื่องของอดีต เมื่ออาทิตย์ที่แล้วฉันไปส่งลูกชายที่สนามบินแล้วได้พบกับนักท่องเที่ยว ชาวไทยที่กำลังจะเดินทางกลับประเทศ พวกเขาทักทายอย่างอบอุ่นและให้การสนับสนุน ฉันอย่างมาก ฉันรู้สึกดีใจมากที่พวกเขาห่วงใยประชาชนพม่า”
หลังจากนั้น ผู้เขียนได้มอบหนังสือ “28 เมนู อา หา ร ชา ติ พั นธุ์จา กพม่ า ” ซึ่ ง จัดทำ โดย สาละวินโพสต์ให้กับเธอ หลังจากเห็นหนังสือ ดอว์ซู ก็แสดงท่ าทีตื่ นเต้นที่ ได้เห็นเมนูอาหารพม่ า หลากหลายชาติพันธุ์จัดทำขึ้นโดยคนไทย พร้อมกับ เริ่มต้นบทสนทนาต่อไปอย่างเป็นกันเอ
“โอ้...ฉันชอบทำอาหารมาก ในช่วงที่ฉันถูกกักบริเวณ ฉันเรียนรู้ที่จะทานอาหารอย่างเรียบง่ าย โดยส่ วนใหญ่ จะเน้นอาหารที่ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่มันก็ค่อนข้างน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน ฉันรู้สึกว่าอาหารที่ไม่มีประโยชน์จะดูน่ากินกว่า (หัวเราะ) ฉันชอบทำอาหาร ให้คนในครอบครัวและเพื่ อนทานเมื่ อมีเวลาตอนที่ ลูกชายมาหาฉัน ฉันตั้งใจว่ าจะทำอาหารให้เขาทานแต่ก็ไม่มีเวลา เพราะตอนนั้น
ฉันเพิ่งได้รับการปล่อยตัว เพื่อนๆ ก็พากันนำอาหารมากมายมาเยี่ยม ในที่สุดเขาก็ทำอาหารให้ฉันทานแทน เขาทำไข่ออมเล็ตให้ฉันทานในตอนเช้าวันหนึ่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากและฉันก็คิดว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่ลูกชายจะทำอาหารให้แม่ของเขาทาน (แสดงอาการขี้เล่นแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะตามมา)”
หลังจากนั้นพวกเราก็นำประเด็นสัมภาษณ์ต่างๆ ที่เตรียมไว้ถามคำถามจนครบ (อ่านเพิ่มเติมในหน้าถัดไป) หลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ผู้เขียนได้มอบผ้าไหมที่ระลึกจากเมืองไทยและถ่ายภาพร่วมกัน ก่อนจากลาผู้เขียนขอบคุณดอว์ซูถึงการเปิดโอกาสให้สื่อทางเลือกเล็กๆ อย่างสาละวินโพสต์เข้าสัมภาษณ์ และเธอก็ตอบกลับมาอย่างน่าประทับใจว่า
“ฉันไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นสื่อเล็กหรือสื่อใหญ่ แต่ฉันสนใจว่า คุณกำลังทำอะไรมากกว่า คุณได้ทำเพื่อประชาชนพม่ามานานและฉันก็ยินดีจะสนับสนุนการทำงานของคุณต่อไป”
………………………….
ค่ ำวันเดียวกัน สายการบินไทยเที่ ยวสุดท้ายของวันพาเราบินตรงจากกรุงย่ างกุ้งสู่ สนามบินสุวรรณภูมิพร้อมกับข้อมูลที่เราซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย เมื่อล้อแตะรันเวย์สนามบิน รอยยิ้ม แห่งเสรีภาพก็ปรากฏออกมาบนใบหน้าของพวกเรา
ขอบคุณมิตรภาพของเพื่อนชาวพม่าทุกคนที่ทำให้การสัมภาษณ์ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีและทำให้เรากลับถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย.