การเลือกตั้งในพม่า ทางออกที่ช่วยให้ทุกฝ่ายไม่เสียหน้า

โดย สุรพงษ์ ชัยนาม

อาจกล่าวได้ว่า ผลการเลือกตั้งในพม่าเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนเป็นไปตามความคาดหมายจนไม่มีใครรู้สึกตื่นเต้นกับการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบยี่สิบปีสักเท่าไหร่ รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ผู้บริหารที่นั่งในสภาดูคุ้นตาจนมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างรัฐบาลเก่าและใหม่ หลายคนจึงเกิดคำถามว่า เมื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้นำความเปลี่ยนแปลงมาให้ประชาชนพม่าดังคาดหวัง แล้วทำไมประชาคมโลกหรือประเทศตะวันตกจึงยอมรับผลการเลือกตั้งและเพิกเฉยต่อความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจะทำหน้าที่เพียงทางออกที่ทำให้ทุกฝ่ายไม่เสียหน้า


ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจก็คือ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกมีมาตรฐานวัดความเป็นประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัตนาที่เป็นคนละระบบกับที่เขาใช้วัดประเทศที่พัฒนาแล้ว กล่าวคือ เขาเรียกร้องให้ประเทศเหล่านั้นมีการเลือกตั้ง และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเนรมิตให้ประเทศนั้นๆ ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย (จะโกงเลือกตั้งก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำให้แนบเนียนเป็นใช้ได้) แต่มีข้อแม้อยู่ว่าผู้ชนะการเลือกตั้งจะต้องเป็นบุคคลที่ทางฝ่ายมหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองเท่านั้น เมื่อครั้งที่ชาเวซ อะมาดิเนจาด หรือฮามาสชนะเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาและอียูก็ไม่ยอมรับ แม้แต่ในประเทศไทยเอง ตราบใดที่คนที่ขึ้นมาปกครองไม่ใช่คนในเครื่องแบบและมีการเลือกตั้งก็ถือว่าเพียงพอและเป็นที่พอใจของคนส่วนมากแล้ว แม้ว่าจะมีการโกงอย่างมโหฬารหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เพียงเพราะบุคคลหรือกลุ่มคนเหล่านั้นได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาแล้ว ก็ถือว่ามีความชอบธรรมตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย(แบบไทยๆ)

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่ าความเชื่ อที่ ว่ า ประชาธิปไตยกับการเลือกตั้งเป็นสิ่งเดียวกันนั้น มิได้มีอยู่แต่ในเฉพาะประเทศที่ยังไม่พัฒนาเท่ านั้น หากได้รับการตีตราประทับยอมรับโดยประเทศมหาอำนาจอีกด้วย และเช่นนี้เอง การเลือกตั้งในพม่าจึงเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกคาดหวังจะให้เกิดขึ้น

ก่อนหน้าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น รัฐบาลทหารพม่ าถูกกดดันมาโดยตลอด แม้แต่จีนเองที่คอยช่วยเหลือพม่าตลอดมาในเวทีโลกก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ครั้นจะยังคงช่วยพม่าต่อไปก็จะดูเสียภาพพจน์ จีนจึงสนับสนุนให้พม่าจัดการเลือกตั้งเสียจะได้ดูดีและดูแนบเนียน เพราะถ้าชนะจะได้มีความชอบธรรม จนถึงวันนี้สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปอาเซียน ยังไม่ได้แสดงตัวว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง ไม่มีใครออกมาคัดค้าน แต่จะเลี่ยงไปพูดว่าพม่าต้องพยายามแก้รัฐธรรมนูญเสียใหม่แก้กฎหมายเลือกตั้งให้เป็นธรรมกว่านี้ เพราะกฎหมายเลือกตั้งที่มีอยู่ขณะนี้มันกีดกันฝ่ ายค้านมากเกินไป(ยกตัวอย่ างเช่ น มีมาตราที่ ให้เจ้าหน้าที่ ในกองทัพมีที่ นั่ งในสภา มีส.ส.และส.ว. มาจากกองทัพถึงร้อยละ 25 มาตราระบุว่าสมาชิกสภาระดับรัฐมาจากหน่วยงานที่กองทัพจัด กฎหมายเกี่ ยวกับการออกเสียงเลือกตั้งให้เวลาแก่ พรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งเพียง 2 อาทิตย์ ถ้าหาเสียงนอกที่ทำการพรรคต้องแจ้งล่วงหน้า 2 อาทิตย์ ส่วนการหาเสียงในที่ทำการพรรคไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องแจ้งวันเวลาล่วงหน้า)

ดังนั้น เหตุผลที่แท้จริงที่รัฐบาลทหารพม่าจัดการเลือกตั้งคืออะไรกันแน่? ไม่ใช่เพราะจู่ๆ เขาเกิดนึกรักประชาธิปไตยขึ้นมา แต่เขาต้องการอยู่รอด ความต้องการอยู่รอดเป็นหัวใจ เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลทหารพม่า รัฐบาลพม่าต้องการหาทางออกจึงจัดการเลือกตั้งเขามั่นใจว่าเขาจะชนะ และเขารู้ดีว่าอะไรที่มาจากการเลือกตั้งจะถูกมองว่ามีความเป็นประชาธิปไตย นี่คือการลดแรงกดดันและเพื่อความอยู่รอดของทหารพม่า

เมื่อประธานาธิบดีโอบาม่าขึ้นมารับตำแหน่ง เขาต่อต้านแนวนโยบายแบบประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชที่มักจะกระทำการต่างๆโดยพลการ (UNILATERALISM) แต่โอบาม่าหันมาใช้นโยบายพึ่งพาชาติอื่นๆ รัฐบาลพม่ามองเห็นท่าทีของสหรัฐว่าโอบาม่าอยากปรับความสัมพันธ์ อยากเสวนาทำความเข้าใจโน้มน้าวให้พม่าเปิดทางการเมืองมากกว่านี้ จึงคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะจัดการเลือกตั้ง เปิดหน้าต่างเปิดประตูเปิดให้พม่าใช้โอกาสนี้จัดการเลือกตั้ง พม่าอ่านเกมถูก เมื่อพม่ารู้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ บีบพม่ า เพราะสหรัฐอเมริกาเองก็มีปัญหาอิรักอัฟกานิสถาน เวเนซุเอลา อิหร่าน เกาหลีเหนือ อยู่เต็มกลืนในหลายด้านสหรัฐอเมริกาจึงไม่สามารถเอาปัญหาพม่าเข้ามาเพิ่มได้ จึงเป็นโอกาสที่ตานฉ่วยและพวกเตรียมการเลือกตั้ง

ในส่วนที่สอง ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และอาเซียนเองต่างใช้นโยบายที่เรียกว่า “Carrot and Stick” หรือ “เอาขนมมาล่อแต่ข้างหลังก็ถือไม้เรียวกำกับอยู่” กับพม่ ามาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2553 คือเอาผลประโยชน์มาล่อ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะพม่ามีไพ่หลายสำรับที่จะเล่นเพราะฉะนั้นต่างคนก็รู้ว่าไม่ได้ผล และนโยบายแซงชั่นก็มีจุดอ่อนอยู่เพราะถ้าประชาคมโลกใช้วิธีคว่ำบาตรต่อประเทศเผด็จการเยี่ยงพม่าคนที่เดือดร้อนก็คือประชาชนตาดำๆ นั่นเอง ในทางตรงกันข้าม หากมาตรการคว่ำบาตรถูกนำมาใช้กับประเทศประชาธิปไตย เช่น สมมุติว่ามีการคว่ ำบาตรประเทศไทย รัฐบาลนี้ย่ อมจะอยู่ ไม่ ได้อย่ างแน่ นอนเพราะคนไทยย่อมจะลุกฮือเอารัฐบาลลง

การคว่ำบาตรนั้นจะได้ผลก็ต่ อเมื่ อทั้งโลกต้องร่ วมมือ แต่ ถ้าประเทศนั้นมีขนมอร่อยที่หลายประเทศได้ประโยชน์ ในกรณีของพม่าพม่ามีพลังงาน มีทรัพยากรล่อใจ มาตรการคว่ำบาตรจึงเป็นอันตกไป

ทางฝ่ายอาเซียนเองไม่ตำหนิพม่าในการจัดการเลือกตั้ง แต่บอกให้พม่าปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งและแสดงความหวังว่าจะมีการเลือกตั้งที่เสรี ยุติธรรม โปร่งใส ให้โอกาสทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม อาเซียนแสดงความหวังทั้งๆ ที่ รู้ว่ าการเลือกตั้งจะไม่ สะอาดก็เพื่ อเป็นยุทธศาสตร์หาทางออกโดยตัวเองไม่เสียหน้า สหรัฐอเมริกาไม่เสียหน้าอาเซียนไม่เสียหน้า ไทยก็ไม่เสียหน้า แม้รู้ว่าการเลือกตั้งจัดแล้วจะไม่เป็นไปอย่างที่คนคาดหวัง แต่ก็ต้องพูดหน้าฉากว่า “เราตำหนิแล้วเราได้แนะนำแล้ว ทำได้เพียงเท่านี้ เราได้ทำหน้าที่แล้ว” (แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือ เมื่อมีการเลือกตั้งแล้วพวกเราก็ล้างมือได้ )

ประเทศต่างๆอาจคิดว่า “การเลือกตั้งอาจจะไม่โปร่งใสนะไม่ชัดเจนนะ แต่เมื่อเราคำนึงว่าตั้งแต่มีการรัฐประหารมาในปี พ.ศ.2505 พม่าไม่มีการเลือกตั้งเลย และการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2531 โดนคว่ำกระดานไป 10 กว่าปี ก็ถือว่าเป็นก้าวเล็กๆ ก้าวหนึ่งที่ดีกว่าไม่มีถึงจะมีข้อบกพร้องมากมาย ก็ยังดีกว่าไม่มีการเลือกตั้งเสียเลยเราต้องให้โอกาสเขา และเมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว เขาจะปรับตัวเองเปิดตัวเองมากขึ้น มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เราน่าจะให้โอกาสเขาก่อน เพราะเราเองก็เคยเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบเหมือนกัน อะไรๆ มันมีขั้นตอนวิวัฒนาการด้วยกันทั้งนั้น”

แต่ จริงๆ แล้วการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นหนทางออก (exitstrategy) ที่จะทำให้สหรัฐอเมริกาและหลายชาติไม่เสียหน้ามากกว่า ในเรื่ องนี้อาเซียนและตะวันตกอยากล้างมือเรื่ องพม่ าจะได้หมดภาระเพราะขณะนี้ดูเหมือนทุกฝ่ ายจะเหนื่ อยหน่ ายกับปัญหาภายในของพม่า แต่ตราบใดที่ทุกคนยังมีผลประโยชน์ในพม่า เรื่องนี้เป็นการรักษาหน้า เพราะถ้าพม่าไม่เปลี่ยนเลย บรรดาประเทศที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับพม่าทางผลประโยชน์ก็จะยิ่งเสียหน้ามากขึ้น

จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด จะเห็นได้ว่าความคิดริเริ่มที่จะให้มีการเลือกตั้งในพม่านั้นมิได้ผุดขึ้นมาลอยๆ หากแต่มีเงื่อนงำซับซ้อนที่เกี่ยวโยงกับทุกเรื่องและทุกฝ่าย หากทหารพม่าชนะเลือกตั้ง พม่าก็ไม่ได้ปิดบังแต่บอกว่าจะเป็น disciplined democracy คือเป็นประชาธิปไตยที่มีวินัย ภาษาไทยเรียกกันทั่วไปว่าเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งไม่ต่างจาก“ประชาธิปไตยชี้นำ” (guided democracy) ของซูฮาร์โต้

สำหรับประเทศไทยกับพม่านั้น คงจะต้องถือเสียว่าถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ ด้วยต่ อกัน หนีไปไหนไม่ ได้ ทั้งไทยและพม่ าเองก็มีความบกพร่องดังที่อธิบายไปแล้ว แต่เราก็อยู่ด้วยกันได้ โดยหวังว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ปกติ และในอนาคตจะพัฒนาจากความเป็นปกติไปสู่ความร่วมมือกันอย่างจริงจังต่อเนื่อง

แต่ตราบใดที่ระบอบการเมืองการปกครองพม่ายังไม่สามารถนำประเทศไปสู่ ความเป็นประชาธิปไตยและมีความเป็นอำนาจนิยมน้อยกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ ประเทศไทยก็อย่าได้คาดหวังอะไรมากจากพม่า เพราะฉะนั้นถ้ามีการเลือกตั้ง จะผิดหรือจะถูก เราจะชอบหรือไม่ชอบขอให้คิดเสียว่ าอย่ างน้อยมันก็ช่ วยปลดล็อค ให้โอกาสกับฝ่ ายที่ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้ลงแข่งขันแทรกซึมเข้าไปบ้าง แต่เราต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลทหารอาจคว่ำกระดานเมื่อไรก็ได้ หากในอนาคตกลุ่มฝ่ายค้านที่อยู่ในสภาทำให้ฝ่ายทหารเห็นว่าจะปล่อยให้อยู่นานไม่ได้ เพราะพวกนี้จะบั่นทอนความมั่นคงกองทัพ เขาก็จะทำรัฐประหารอีกอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นเรื่ องนี้จึงเป็นเรื่ องที่ ทุกฝ่ ายกลืนไม่ เข้าคายไม่ ออกและต้องดูกันต่ อไป แต่ อย่ าถึงกับผิดหวังว่ าการเลือกตั้งอย่ างนี้ไม่ มีประโยชน์ อย่ามีเสียเลยจะดีกว่า ไม่มีการเลือกตั้ง กับเลือกตั้งแล้วเหมือนเดิม มันไม่ทำให้อะไรเสียหาย ประเทศพม่า 50 กว่า ปีที่ผ่านมาทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามบริบทของมัน

แต่ยิ่งเปลี่ยนยิ่งเหมือนเดิม ก็คือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย.