ธรรมะหรืออนาจาร? ในศิลปะชาวบ้านอุษาคเนย์

โดย นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

หลายปีมานี้สนิทสนมกับหนุ่ มไทใหญ่รุ่นน้อง แต่อายุอาจจะเป็นรุ่นลูกไปแล้วก็ได้ เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าแม่เขาอายุน้อยกว่าดิฉันซะอีก แต่สั่งห้ามเด็ดขาดกับนาย “หนุ่มเมือง” ว่า อย่าเชียวนะอย่ามาเรียกฉันว่าป้า เผลอเรียกเมื่อไหร่--ฉันตบเธอลูกตาหลุดแน่!

นายหนุ่ มเมืองหัวเราะแหะๆ ท่ าทางนิ่ มนวลอวลอิ่ มด้วยมารยาท มารยาท และมารยาท ลุกเหินเดินนั่งไม่มีเสียล่ะจะหยาบช้าพรวดพราด ทั้งยังพูดจาด้วยถ้อยคำสำเนียงไพเราะจนฟังแล้วออกจะรำคาญรูหู ที่เป็นเช่นนี้เพราะหนุ่มเมืองเคยบวชเรียนมายาวนานถึง 10กว่าปี คงตั้งแต่อายุ 8 ขวบล่ะกระมัง เพิ่งสึกหาลาเพศใส่ชุดฆราวาสกับเขาเป็นเมื่ อเป็นผู้ใหญ่ แล้ว แถมตอนเจอครั้งแรกนายหนุ่ มเมืองยังทำให้ดิฉันต้องยกมือไหว้ปลกๆ เพราะหลวงน้องเล่นห่มจีวรเหลืองสดอย่างสำรวมเรียบร้อยมาพบปะกับนางยักษิณีผู้พี่ผู้ใช้ดวงตาจ้องเขม็งสอดส่ายสังเกตหลวงน้องอยู่ทุกอากัปกิริยา ครั้นสึกหาลาเพศบรรพชิตมาเป็นน้องชายที่รักสนิทสนมกันมากโขแล้ว ดิฉันยัง ไม่วายนึกในใจว่าเวรหนอเวร เกือบแกว่งปากหาบาปแล้วซิกู...ดีเท่าไหร่ ที่ไม่จิกกัดอดีตพระไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นประวัติหนุ่มไทใหญ่คนนี้มาก่อนดิฉันคง “หมั่นไส้” ในอาการนิ่มประณีตของเขาซะแน่ๆ เพราะมันชวนให้พาลคิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้ออกจะ “ดัดจริต” สิ้นดี
ยิ่งรู้จักกันมากเข้าก็ได้รู้ว่าหนุ่มเมืองสงบเรียบร้อยแต่เขาไม่ได้นิ่มแปร่ดเหลวเป๋ว หากเป็นคนดื้อคนจริงที่ไม่ยอมในเรื่องไม่ถูกต้องไม่ยุติธรรมเสียด้วยซ้ำ แถมยังมีเรื่องเล่าสนุกๆ ห่างไกลจากอาการนิ่มๆมาเล่าให้ดิฉันฟังอยู่บ่อยๆ ยิ่งกับชีวิตวัยเด็กในทุ่งนาเมืองปั่น รัฐฉานก่อนจะบวชเณรนั้นเขาจำได้แม่นยำชัดเจน สงสัยอะไรเกี่ยวกับชาวบ้านชาวนาไทใหญ่ถามเขาได้ทั้งนั้น วันก่อนถามหนุ่มเมืองว่า นี่เธอ โตมาในรัฐฉานน่ะ บวชเรียนมาก็นานเป็นสิบปี เคยเห็นภาพจิตรกรรมเชิงสังวาส(erotic art) ประเภทหญิงชายแก้ผ้าหรือแสดงพฤติกรรมทางเพศบนผนังโบสถ์ตามวัดไทใหญ่บ้างไหม

หนุ่มเมืองนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ตอบคำถามว่า “ไม่มีหรอกครับพี่ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงด้วย สังคมไทใหญ่เขาระมัดระวังปกปิดเรื่องนี้มาก ไม่พูดกันโดยเปิดเผย ไม่ให้เด็กรู้ ถือเป็นเรื่องไม่สุภาพอย่างร้ายแรง ตอนเด็กๆ ผมเคยไปขอหลับนอนกับผู้หญิงยังโดนแม่เอาพริกทาปากแสบร้อนจนร้องโอดโอยไปเลยพี่

“อะไรนะ” คราวนี้เป็นฝ่ายดิฉันบ้างที่ตระหนกอกสั่น “นิ่มๆอย่างเธอนี่นะ ไปขอหลับนอนกับผู้หญิงตั้งแต่เป็นเด็กตัวเปี๊ยก ๆเธอรู้ด้วยหรือว่าหลับนอนกับผู้หญิงมันเป็นยังไง”

“ก็ไม่รู้นะซี่ ” หนุ่ มเมืองหัวเราะร่ วนมาตามสายโทรศัพท์ก่อนจะเล่าต่อว่า “ตอนนั้นผมอายุ 7 - 8 ขวบ ยังไม่ได้บวชเณร ไอ้เด็กโตกว่ามันบังคับให้ไปขอร่วมเพศกับสาวในหมู่บ้าน ถ้าไม่ไปพูดขอมันจะกระทืบ ผมต้องเดินไปพูด พี่สาวคนนั้นเขาโกรธมาก เขาไปฟ้องแม่ผม พอผมเดินเข้าบ้านแม่ไม่ถามอะไรสักคำ แม่ตำพริกสดแดงๆ เตรียมไว้เป็นกำมือ ยึดแขนผมได้ก็จับผมอ้าปาก เอาพริกแดงๆ ตำละเอียดทาปากผม ยัดปากผม มันเผ็ดร้อนรุนแรงสุดขีดจนผมร้องไห้โฮไปเลย”

วัฒนธรรมไทใหญ่ที่สืบถามจากเพื่อนๆ มา ศิลปะเชิงสังวาสที่เฉียดเส้นอนาจารดูจะไม่มีปรากฏให้ทิ่มแทงสายตาผู้คนอยู่ตามโบสถ์วิหารในรัฐฉาน เรื่ องทางเพศของสังคมฉานออกจะเป็นเรื่ องปกปิดเร้นลับ นายทหารไทใหญ่อายุ 40 ปลาย อย่างผู้พันเสือแห่งกองทัพรัฐฉานให้คำอธิบายเพิ่มเติมกับเรื่องนี้ว่า ในสังคมฉาน ขนาดผู้หญิงไทใหญ่ใส่ซิ่ นสั้นเหนือข้อเท้าเข้าวัดเข้าโบสถ์ ยังถูกทั้งชุมชนประณามตำหนิผู้หญิงพูดเรื่องทางเพศไม่ได้ รวมกลุ่มกันเองอาจแอบพูดสนุกบ้าง ส่วนผู้ชายไทใหญ่ก็พอกับผู้ชายไทยนั้นแหละ ผู้พันเสือยืนยันว่าลามกพอกันเจอกันหลายๆ คนก็คอยจ้องคอยดู คอยวิจารณ์ นมต้ม ก้นกอยของผู้หญิงแต่เขาก็คุยกันเองไม่อาจนำมาเปิดเผยในที่สาธารณะ ชุมชนไทใหญ่แต่โบราณควบคุมเรื่องทางเพศค่อนข้างแน่นเปรี๊ยะ หากผัวเมียคู่ไหนเข้ากันไม่ได้ในเรื่องเพศก็ต้องทนกล้ำกลืนขมขื่นไปจนตายจาก เพราะผู้หญิงไม่อาจพูดออกมาได้ ขอหย่าเลิกร้างจากผัวก็ไม่ได้ ถ้าผู้ชายไทใหญ่ไม่ยอมหย่าผู้หญิงก็ไม่อาจไปจากผู้ชายได้ นอกจากนี้ผู้พันเสือยังยืนยันว่า การที่วัฒนธรรมไทใหญ่ได้ให้คุณค่ากับพุทธศาสนาว่าเป็นเรื่องสูงส่งที่สุดในสังคม ดังนั้นไอ้การจะไปมีภาพเปิดโชว์อวัยะเพศหญิงชาย ไม่ว่าจะเป็นจู๋จิ๋ม หรือภาพแสดงถึงการหาความสุขทางเพศในจิตรกรรม ภาพเขียนภาพแกะสลักใดๆ ตามวัดไทใหญ่ยิ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ส่วนการโชว์นมต้มของผู้หญิงไทใหญ่ที่มีลูกแล้ว การให้นมลูกในที่สาธารณะเป็นเรื่องปกติมาก ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด ไม่มีกระมิดกระเมี้ยน และไม่มีใครสนใจจะอยากไปดูนมของผู้หญิงมีลูกแล้วซะด้วย

ฟังเรื่องวัฒนธรรมไทใหญ่ ซึ่ งเป็นชาติพันธุ์เดียวกับคนไทยสยามและคนลาวแล้ว ดิฉันก็ออกจะงุนงงเพราะมันต่ างกันมากกับทัศนคติทางเพศ การแสดงออกทางเพศของคนไทยสยามและคนลาวที่เป็นมาในสมัยโบราณ ซึ่งยังปรากฏหลักฐานเป็นภาพเขียน ภาพแกะสลักอย่างอะร้าอร่ามฉ่ำแฉะสายตา อยู่ตามโบสถ์ วิหาร องค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของแต่ละชุมชนเหล่านั้นด้วย

อันที่จริงดิฉันไม่ใช่คนจะสนใจถ่ายภาพเก็บภาพศิลปะเชิงสังวาสตามวัดวาต่ างๆ นักหรอก เพราะความใส่ ใจจะมุ่ งตรงไปเรื่ องชีวิตชาวบ้านที่อยู่กินกันมาในโลกยุคเก่าซะมากกว่า นั่นจึงทำให้ชอบบันทึก“ภาพกาก” หรือภาพในจิตรกรรมที่ไม่ใช่ตัวสำคัญในเนื้อหา เช่นผนังโบสถ์มักเขียนภาพหลักเป็นเรื่องพุทธประวัติและพระเจ้าสิบชาติ แต่ในภาพหลักเหล่านั้นจะมีภาพกากหรือภาพวิถีชาวบ้าน บันทึกความจริงความเป็นไปที่จิตรกรพบเห็นในยุคสมัยของการสร้างงานปรากฏอยู่ด้วย ดังนั้นดิฉันจึงมักสุ่มสี่สุ่มห้าถ่ายภาพชาวบ้านในจิตรกรรมไทยไปเรื่อยเปื่อยเจอเมื่อไหร่ได้กดชัตเตอร์ดังแชะๆ อยู่เสมอ ครั้นนำมาขยายดูในจอคอมพิวเตอร์ได้เห็นรายละเอียดอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋..แจ๋ คราวนี้ล่ะได้อื้อฮื้อ อื้อฮ้า...โอพระเจ้า อะไรจะขนาดนี้! ร้อยกว่าปีก่อนนี่นะ ภาพทางเพศถูกบันทึกเอาไว้อย่างรุนแรงชวนให้น่าตระหนก มากต่อมากอยู่กันกลางผนังโบสถ์ของวัดสำคัญประจำเมือง กลางโบสถ์ที่พระหนุ่มเณรน้อยทำสังฆกรรม บวช สึก สวดมนต์ ลงอุโบสถถือศีลปลงอาบัติกันอยู่ทุกย่ำเย็นทุกวันโกนวันพระไม่มีละเว้น แต่ผนังโบสถ์ตรงหน้าพระภิกษุข้างพระภิกษุนั้นแหละกลับเต็มไปด้วยภาพอวัยวะหญิงชาย การร่วมเพศหาความสุขทางเพศอย่ างหนักหนาสาหัส ....นี่มันธรรมะหรือลามกอนาจารกันแน่?

อย่างวัดทองธรรมชาติ วัดสำคัญของฝั่งธนบุรีนั้น จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถเป็นภาพพุทธประวัติ ไตรภูมิพระร่วง ฤษี วิทยาธรเขียนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2374 สมัยรัชกาลที่ 3 ประมาณช่วงตั้งกรุงเทพใหม่ๆหรือราว 180 ปีก่อน ชีวิตชาวบ้านที่จิตรกรบันทึกไว้สุดแสนจะโจ๋งครึ่มถ่ายภาพมาครั้งแรก ดิฉันไม่ค่อยสังเกตอะไรมาก มาดูทีหลัง อ้าว..มีภาพคุณป้าตัวอ้วนล่ำห่มสไบนมแกว่งกำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ริมกำแพงขณะใช้ปลัดขิกหรือไม้สากกะเบืออะไรสักอย่างยัดซอกขาเข้าไปในผ้าโจงกะเบน แม้จะมีเด็กหนุ่มหาบน้ำหันมาจดจ้องแต่คุณป้าดูจะไม่ยั่น...ส่วนอีกภาพก็เป็นหญิงชายรวมหมู่ชุลมุนกำลังจับก้นจับนมผู้หญิงแหกแข้งขาลวนลามกันอุตลุด...อันนี้เป็นเรื่ องไทยสยามภาคกลางไม่ กี่ชั่วอายุคนที่ผ่านมา

หญิงชายวุ่นวายไม่เป็นส่ำในที่หนาแน่นด้วยผู้คน
ที่ผู้หญิงถูกกระหน่ำลวนลามจับนมล้วงจิ๋มกันจนไม่มีที่หลบ
ในภาพเขียนวัดทองธรรมชาติ เมืองธนบุรี

สำหรับเชื้อสายคนเมืองหรือเผ่าพันธุ์ไทยวนนั้น ดูจะไม่น้อยหน้าในชุมชนคนเมืองที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ที่จ.สระบุรีช่วงต้นรัตนโกสินทร์มาสร้างวัดหนองยาวสูงและวัดหนองโนน้อยไว้ในชุมชน ภาพจิตรกรรมที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ฉากมารผจญในวัดหนองยาวสูง กองทัพมารที่ถูกแม่ธรณีบีบมวยผมจนน้ำไหลเป็นพายุมาท่วมทัพให้แตกพ่ายไปนั้นกองทัพมารดูจะเต็มไปด้วยนานาสารพัดจู๋หัวแดงก่ ำโผล่ พรวดพราดออกมาให้ปลาไล่งับ งับ หรือกระทั่งปลาเองยังมีหัวเป็นไอ้จู๋เด่นชัด แต่ประหลาดดี ดิฉันเอาภาพนี้ให้คุณยายที่รักท่านหนึ่งดู ท่านไม่มองไอ้พวกจู๋จู๋เหล่านั้นเลย ชี้มับไปที่กุ้งก้ามกรามตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม บอกเสียงตื่นเต้นว่าอุ๊ย...กุ้งน่ากินจังลูก เขียนได้น่ากินจริง ตัวมันใหญ่ดีนะ! ...เป็นอย่างนั้นไปฉิบ!

กองทัพมารอะร้าอร่ามไปด้วย
จู๋ จู๋และจู๋ที่วัดหนองยาวสูง กลางชุมชนไตยวน
จ.สระบุรี

ส่วนวัดหนองโนเหนือก็ไม่เบานักหรอก มีภาพนางอมิตดา เมียชูชกถูกนางพราหมณีในหมู่บ้านกลุ้มรุมด่าทอทุบตีระหว่างเดินไปตักน้ำที่ท่าน้ำ เหล่านางพราหมณีใส่ผ้าซิ่นลายทางขวาง ผมเกล้ามวยแบบสาวไตยวนโบราณ หลายสาวถลกผ้าเปิดจิ๋มเปิดก้นที่ จิตรกรผู้วาดลงรายละเอียดให้เห็นซะทุกเส้นขน...ดูแล้วมึนยิ่งกว่ามึน สาวๆ ร้อยกว่าปีก่อนเขาใจกล้าสุดๆ ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ

เหล่านางพราหมณีสวมซิ่นไตยวนเปิดจิ๋มกลุ่ม
รุมด่าเหยียดหยามนางอมิตตดาในเวสสันดรชาดก
ภาพจากวัดหนองโนเหนือ ชุมชนไตยวน
จ.สระบุรี


ภาพเขียนในวัฒนธรรมไท-ลาวของทางภาคอีสานนั้นดุเด็ดเผ็ดมันยิ่งกว่า อย่างทางจ.อุบลราชธานี อุโบสถวัดทุ่งศรีเมืองที่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2356 สมัยรัชกาลที่ 2 จิตรกรรมวัดนี้เขียนภาพเทพชุมนุม พุทธประวัติตอนผจญมารและปรินิพาน กับภาพชาดกเรื่องต่างๆ

เข้าไปดูจิตรกรรมวัดนี้แล้วดิฉันสุดจะมึนเพราะมีภาพหนุ่มสาวกำลังทำกิจกรรมชนิดพี่จับมั่งน้องจับมั่งอย่างสนุกสนานอยู่ใกล้ต้นกล้วยมีภาพหญิงรักหญิง สาวน้อยกับสาวเริ่มรุ่นจับนมบี้นมกันอุตลุด มีภาพ“กินเด็ก” ชนิดสาวเต็มตัวเต่งตึงกำลังนอนเปิดอวัยวะเพศอ้าซ่ าทำกิจกรรมทางเพศกับเด็กชายรุ่นๆ ยังไว้หัวจุกอยู่ใต้ต้นมะพร้าว กระรอกกระแตวิ่งพล่าน ไม่กลัวถูกลูกมะพร้าวตกใส่หัวกันบ้างรึไง มีภาพนางยักษิณีคอขาดนอนแผ่แบจิ๋มอยู่ มีกระทั่งภาพหนูเล็กเด็กน้อยกำลังเปิดจิ๋มจับกันเล่นกัน ข้างหนุ่มสาวที่นั่งขยำนมกันอยู่ หันไปทางไหนมีแต่ภาพพวกนี้รอบตัวสารพัดจนหน้ามึนหูตาลายไปหมด ดูมากๆ ไม่ได้สุนทรสายตาหรือระทึกอกสั่นใดๆ แต่ มันเวียนหัวจนพะอืดพะอมไปซะมากกว่า

เลสเบี้ยนหญิงรักหญิง ทำกิจกรรมทางเพศอย่างเปิดเผยรื่นรมย์
 บันทึกเป็นหลักฐานมาร้อยกว่าปีแล้ว ภาพจากวัดทุ่งศรีเมือง

มากินเด็กกันไหม ภาพสาวเต็มตัวเปิดจิ๋มอ้าซ่าอยู่
กับเด็กชายหัวจุก ภาพจากวัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี

ยักษิณีคอขาด ก่อนตายยังฝากจิ๋มเปิดให้ดูโจ๋งครึ่มเป็นที่ระลึก
ภาพจากเสากลางโบสถ์วัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี

ส่วนเมืองลาวนั้นน่ะหรือดูเอาเองแล้วกัน พระธาตุอิงฮัง เจดีย์พระธาตุสำคัญที่สุดของลาวภาคใต้ตั้งอยู่ที่เมืองสะหวันนะเขดมีภาพแกะสลักลงรักปิดทองปรากฏหราอยู่เปิดโชว์จู๋จิ๋ม ทำกิจกรรมทางเพศกันอย่างถึงพริกถึงขิงในท่วงท่าต่างๆ คนมาเยี่ยมชมพระธาตุ มานั่งสวดมนต์อธิษฐานจิตกราบบูชาพระธาตุไปก็กราบภาพพวกนี้ไปด้วย ได้สัมผัสทั้งโลกุตรธรรมและโลกียธรรมซะพร้อมๆ กันก็มันส์ไปอีกแบบดี

ไกลมากๆ แห่งหนึ่งไปดูโบสถ์วัดกองลอ บ้านกองลอ เมืองหินบูนแขวงคำม่วน ประเทศลาว ผนังโบสถ์เขียนภาพเปรตนานาความผิดบาปทำบาปอย่างไรจึงต้องมาเป็นเปรตร้องกรี๊ดๆ ขอส่วนบุญไม่เลิกน่ะหรือลองดูลีลาเปิดเปลือยอวัยวะเพศอย่ างชัดแจ้งชนิดเห็นจู๋เบ้อเริ่ มเทิ่ มแบบนั้นน่ะเป็นเปรตทำผิดจากการ “ร้องก้องในวัดวาอาราม” (สงสัยคงจะมีผู้ชายอยากแหกปากร้องตะโกนในวัดกันเยอะเลย) ส่วนที่ดูแล้วน่าสงสารมากๆก็คือ “เปรตตัวนี้บ่ให้ผัวนอนนำ” อันหมายถึงว่าในสังคมลาว หากผู้หญิงลาวไม่ยอมให้ผัวนอนด้วย เธอเหล่านั้นจะต้องโทษรุนแรงตกนรกกลายเป็นเปรตกันซะแน่ยิ่งกว่าแน่

นานาสารพัดเปรตที่วัดกองลอ แขวงคำม่วน ประเทศลาว
ความผิดฉกาจฉกรรจ์ที่ทำให้ผู้หญิงลาวกลายเป็นเปรตคือ
“ไม่ยอมให้ผัวนอนด้วย”

ทั้งหมดของภาพเขียนภาพแกะสลักอันเป็นงานศิลปะทางเพศที่ดิฉันถ่ายภาพรวบรวมมาจากการเดินทางไปในพื้นที่ศาสนาของชุมชนไทยภาคกลาง ไทยอีสาน ไตยวน คนลาว....เห็นซ้ำๆ มากซะยิ่งกว่ามากถ้วนทั่วเต็มไปหมด ทำให้ดิฉันมาขบคิดอย่างจริงจัง ภาพกากพวกนี้ได้พยายามจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่?

เมื่อช่วงสงกรานต์ปีพ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา มีเด็กสาวรุ่นๆ 3 คน2 คนในนั้นยังใช้คำนำหน้าว่าเด็กหญิงด้วยซ้ำ ขึ้นเต้นโคโยตี้บนรถเปิดโชว์นมต้มกันอึกทึกคึกคักกลางถนนสีลม ท่ามกลางผู้คนเป็นพันเป็นหมื่นจนเสียงด่าประณามว่าเด็กๆ เหล่านั้นทำอนาจารดังกระหึ่มไปก้องเมืองบางคนด่าว่าเด็กหน้าด้าน บางคนชื่นชมว่าเด็กๆ เหล่านั้นกล้าหาญมีจิตใจเต็มเปี่ ยมด้วยอิสรภาพและกล้าแสดงความเป็นตัวของตัวเองอย่ างไม่ แคร์อะไร เรื่ องนี้เป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงในสังคมไทยที่ปัญญาชนนักวิชาการหลายท่านออกมาระบุว่า ภาพการโชว์นมของผู้หญิงเคยเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทยยุคก่อนเพราะมีหลักฐานภาพเขียนภาพถ่ายการเปิดนมของนางฟ้าเทพธิดาอยู่มาก ส่วนชาวบ้านผู้หญิงรุ่นเก่าต่างล้วนเปิดนมต้มเต็มไปหมดและเปิดกันทั่วทุกภูมิภาคซะด้วย

งานศิลปะต่างๆ ที่ดิฉันรวบรวมจากจิตรกรรม ปฏิมากรรมโบราณมาให้ดูมากต่อมากอย่างข้างต้นนี้ มันเปิดยิ่งกว่านมไปถึงไหนๆ ทั้งยังทำกันโจ๋งครึ่มในวัดในโบสถ์ต่อหน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์กันซะอีก เป็นเช่ นนี้แล้ว ตกลงเส้นแบ่ งระหว่ างธรรมะกับอนาจารมันอยู่ ตรงไหน?ความกล้ากับการหน้าด้านมันแบ่งกันตรงไหน? และที่น่าสนใจก็คือ ทำไมงานศิลปะที่ ดูสวิงสวายเหล่ านี้มันถึงไปปรากฏชุกชุมอยู่ ในผนังโบสถ์ตามวัดหลักๆ ของชุมชน ตามพระธาตุที่กราบบูชาอย่างเคารพสุดๆของหลายพื้นที่ในอุษาคเนย์

สิ่งที่ต่างกันมากระหว่างภาพศิลปะเชิงสังวาสในวัดกับการเต้นโคโยตี้ของเด็กสาวหรือหนังเอ๊กซ์ที่ดูแล้วซี้ดๆ ซ้าดๆ กวนกามอย่างที่สุดอยู่ตรงที่งานศิลปะโป๊เปลือยสังวาสกันตามวัดนั้นเป็นภาพ “นิ่ง” ไม่มีมิติทางการเคลื่อนไหว แม้ในจินตนาการก็ยัง “นิ่ง” สนิท แต่หนังเอ๊กซ์การเต้นเร่าๆ ของสาวโคโยตี้...มันมีการเคลื่อนไหวเย้ายวนดีดดิ้น ซึ่งมิใช่เคลื่อนไหวแค่ที่ตาเท่านั้น แต่ในจินตนาการของคนดู ในเซลล์ในเลือดเนื้อของคนดูมันเคลื่อนที่กระโดดพุ่งติดตามล้ำลึกไปด้วย จนวิ่งลิ่วเลยหน้าสิ่งที่เห็นไปถึงไหนๆ

อาการนิ่งสนิทของงานศิลปะเชิงสังวาสตามวัด มีบทบาทสูงในการทำให้พระเณรสามารถทำสังฆกรรมอยู่ หน้าการสังวาสและสิ่ งโป๊เปลือยเหล่ านั้นมาเป็นร้อยๆ ปีได้อย่ างปกติไม่ เคย “ของขึ้น” กันแต่อย่างใด ด้วยความสงสัยในพลังทางเพศของงานศิลปะเหล่านี้ ดิฉันเอาภาพจิตรกรรมเชิงสังวาสจากวัดหนองยาวสูงให้คุณยายคนหนึ่งดูคุณยายแบบที่ชอบทำบุญ ชอบเข้าไปนั่งอยู่กลางโบสถ์นั้นแหละ เพ่งพิศแล้วคุณยายยังอยากกินกุ้งตัวอึ๋มๆ ในภาพโดยไม่ทันไปสังเกตเห็นจู๋ ส่วนชายไทยรุ่นโบราณเองต่างก็ได้นั่งดูภาพนางฟ้านางสวรรค์เปิดนมต้มหรือมองๆ ผู้หญิงเปิดนมให้นมลูกกันในที่ สาธารณะอย่ างเป็นเรื่ องธรรมดา ดูกันมาปกติเป็นร้อยๆ ปีแล้วด้วย

จนถึงงานศิลปะตามวัดที่ เปิดนมต้มจู๋จิ๋มกระทั่ งร่ วมเพศกันเหมือนหนังเอ๊กซ์ แต่สามารถอยู่ร่วมกันในปริมณฑลของธรรมะวัดวามาได้โดยไม่เคยก่อปัญหาใดๆ ทั้งยังไม่เคยเป็นวิวาทะรุนแรงของสังคมพระเณร โยมแก่โยมเด็กดูผ่านตาสบายใจเฉิบๆ ชินซะยิ่งกว่าชิน เพราะอะไรน่ะหรือ คำตอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังก็คือ นั่นเป็นเพราะ “เจตนา”ของผู้สร้างงานศิลปะเชิงสังวาสเหล่ านั้นเป็นเจตนาบริสุทธิ์สะอาดต้องการบันทึกความเป็นไปของวิถีชีวิตผู้คนในสังคม บันทึกความเป็นไปทางโลกียธรรมโดยไม่มีเจตนาที่จะกระตุ้นเร้ายั่วยุกามราคะใดๆ ภาพที่สร้างขึ้นจากเจตนาบริสุทธิ์นี้จึงแทบจะสิ้นไร้พลังทางเพศ ดูแล้วชวนขบขันมากกว่าชวนข่มขืน ซึ่งตรงนี้เป็น “เจตนา” ที่ต่างกันมาก ต่างกันคนละขั้วกับคนสร้างคนเสพหนังเอกซ์หรือของสาวน้อยโคโยตี้ ที่ตั้งใจกวนกามยั่วยุกระตุ้นเร้าราคะให้พุ่ งโลดพร้อมจะกระโดดใส่ กิจกรรมทางเพศอย่างไม่มียับยั้ง

ด้วย “เจตนา”อันแตกต่างของผู้สร้างงานศิลปะเช่นนี้เอง ที่ทำให้“ธรรมะ” ต่างกันไกลสุดขั้วกับ “อนาจาร”

และการนำเสนอทางเพศ เปิดเปลือยเนื้อตัว เปิดเปลือยความหยาบถ่อย ความมักง่ายโดยเฉพาะกับพวกผู้ใหญ่ พ้นวัยคึกคะนองลองผิดลองถูกของเด็กวัยรุ่นมาไกลโข การแสดงออกทางเพศทั้งความคิดและการกระทำที่มุ่งแต่จะเอาจะหาความสุขสนุกสำราญทางกาย ใช้เรื่องทางเพศเป็นเครื่องมือหาความสะใจ หาชื่อเสียงความสำเร็จใส่ตัวโดยไม่ใส่ใจว่าใครจะรับผลกระทบ ใครจะระทมขมขื่นพบกับวิบัติหายนะในชีวิตอย่างไร ขนาดไหน นี่ชวนให้ฉงนสับสน และสงสัยนักว่า พฤติกรรมเหล่ านั้น--เป็นเรื่ องความกล้าท้าทายสังคมหรือเป็นเพียงข้ออ้างบิดตะแบงหาความชอบธรรมจากจริตนิสัย “หน้าด้าน” ในกมลสันดานของคนมักมาก--เรื่องนี้ตอบตรงชัดได้เลยว่า เส้นแบ่งระหว่างความกล้าและการหน้าด้านนั้นมันอยู่ตรงการรู้จัก “อาย” ให้เป็น หากสามารถทำในเรื่ องที่ สมควรละอายแต่ ไม่ รู้จักอายแล้วนั่ นไม่ ใช่ ความกล้าแต่ เขาเรียกว่า “หน้าด้าน”

ส่วนการที่งานศิลปะเชิงสังวาส(Erotic Art) ไปปรากฏชุกชุมในพื้นที่ทางศาสนานั้นมิได้ผุดเกิดขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ฉับพลันในแผ่นดินอุษาคเนย์ไทย-ลาว หากมี “ต้นธาร” มาจากศิลปะประเภทเดียวกันนี้ในงานจากลัทธิ “ตันตระ” ของชมพูทวีป ดังที่เคยปรากฏภาพแกะสลักหินชุดเสพสังวาสอันงดงามที่เทวาลัยขชุราโห(Khajurho) ประเทศอินเดียภาพแกะสลักหินที่ ขชุราโหนั้นเต็มไปด้วยการเสพเมถุนธรรมอย่ างละลานตา โดยความลึกซึ้งของศาสนศิลปะที่ขชุราโหนั้นมีข้อน่าสนใจหลายประการ อาจารย์เขมานันทะได้เคยอธิบายความลุ่ มลึกนี้ไว้ในบทความ “สาระสำคัญแห่งวัชรยานตันตระ” ว่า “ถ้าไปที่วิหารสุริยเทพโกนารักหรือเทวาลัยขชุราโหที่อินเดีย ท่านอาจจะงงมาก โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลังมีแต่ภาพหินสลักเรื่องการเสพสังวาสตั้งแต่ระดับสัตว์จนกระทั่งระดับเทพ และก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดคือกลีบบัวบาน ไม่มีการเสพสังวาสเมถุนอีก แสดงว่าเขามองศาสนธรรมผ่านพลังทางเพศไปสู่การหลุดพ้น และมีประจักษ์พยานว่าทั้งชั้นเชิงศิลปะก็ดีปรัชญาก็ดี สอดคล้องกลมกลืนเป็นศิลปะชั้นสูง นั้นแสดงว่าจิตใจจิตสำนึกทางสังคมของชาวตันตระในแต่ละนิกายนั้น ไม่ได้เลวทรามชั่วช้าเหมือนที่นักจริยธรรมสุดขั้วทับถม เพราะว่าเขาสามารถสะท้อนออกถึงความงามอันประณีตออกมาได้ในงานศิลปะ

ภาพประติมากรรมที่ขชุราโหนั้นสวยจับจิต แต่มีลักษณะอบอุ่นกรุ่นกลิ่น(Senseous)มากกว่าสงบ พูดอย่างไรดี อุ่นๆ ไม่สงบเยือกเย็น พูดภาษาชาวบ้านว่ามันมันดี แม้แต่พระพุทธรูปที่นาลันทาก็ไม่สงบแบบคุปตะหรือสุโขทัยของเรา แต่ว่าตาเฉียงขึ้นเรียกว่าเฉี่ยวๆ ผมไม่รู้จะหาคำพูดไหนบอก คล้ายๆ ว่าเป็นการมองชีวิตแบบที่โฉบเฉี่ยวท้าทาย ไม่ได้มองชีวิตแบบข้อสรุป สิ่งเหล่านี้สะท้อนซึ่งปรัชญาชีวิตที่มองสู่พลังชีวิตและการพัฒนาจากรากฐานของรสมากินเด็กกันไหม ภาพสาวเต็มตัวเปิดจิ๋มอ้าซ่ าอยู่ กับเด็กชายหัวจุก ภาพจากวัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชานีแห่งชีวิต…

วัชรยานไม่ ใช่ ลัทธิตันตระธรรมดาแต่ เป็นลักษณะของตันตระแบบพุทธ…วัชรยานรับเอาตันตระมาด้วยวินัยชั้นสูง ดังนั้นข้อสรุปอีกข้อหนึ่งในเบื้องต้นคือว่าวัชรยานนั้นเป็นวิธีปฏิบัติของผู้ที่ พร้อมไปด้วยวินัยแล้ว คือสมบูรณ์พร้อมไปด้วยพลังของสติพลังของมนสิการอย่างพอเพียง และดังนั้นพลังอันนี้จะเปลี่ยนกิเลสให้เป็นโพธิได้ พูดง่ายๆ เมื่อกิเลสปรากฏและเห็นมันด้วยพลังของสติสมาธิ เมื่อนั้นกลับกลายเป็นปัญญา เกิดความสว่างไสวทางปัญญาปราศจากกิเลสก็ไม่ มีปัญญา กิเลสนั่ นเองทำให้ได้ปัญญา”

ร้อยกว่าปีก่อน ครั้งที่เป้าหมายสูงสุดของผู้คนและอุดมคติของสังคมและคนทุกระดับชั้นของคนไทย-ลาวยังอยู่กับความใฝ่ฝันที่จะได้บรรลุธรรม ได้พบพระศรีอาริย์ ในแผ่นดินอุษาคเนย์คนชาติพันธุ์ไท-ลาวต่างบันทึกชีวิตและความเป็นไปทางเพศของมนุษย์ ไว้ในพื้นที่ทางศาสนามาแล้วอย่างเต็มที่ ด้วยสติปัญญาลึกซึ้งอันทำให้ภาพโป๊เปลือย ภาพกิเลสหนาด้วยกิจกรรมทางเพศ ซึ่ งเป็นฝักฝ่ ายของโลกียะสามารถอยู่ ร่ วมกับเส้นทางธรรมะมาได้ราบรื่ นโดยไม่ กลับขั้วไปเป็นเรื่ องอนาจาร

เป็นร่องรอยของศิลปะชาวบ้านที่จะบันทึกภาพความเป็นไปทางโพธิปัญญาอย่างล้ำลึกและสนุกสนานไปอีกยืนนานนัก.