แปลโดย Numripan
![]() |
จ่อตูกับผลงาน "Freedom" |
“ระวัง บ้านนี้มีสุนัขกินเนื้อคน” ข้อความบนป้ายที่ติดไว้หน้าบ้าน บวกกับเสียงหมาเห่าจากในรั้วบ้านทำเอาคนที่ มาเยือนอย่างผมรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูกสักพักมีเด็กหนุ่มออกมาเปิดประตูให้เข้าไปในบ้านเพื่ อเข้าไปชมงานแสดงภาพวาดของอูจ่อตู เจ้าของบ้านซึ่งเป็นทั้งจิตรกรและนักแสดงที่ไม่มีโอกาสแสดงผลงานภาพวาดของตัวเองอย่างเปิดเผยในประเทศพม่า และยังถูกห้ามแสดงภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเขาจะเคยได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของอาชีพนักแสดงมาแล้วถึงสองครั้งก็ตาม
เหตุที่อูจ่อตูกลายเป็นศิลปินต้องห้ามเป็นเพราะว่าเขาได้ก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือคนยากไร้ โดยรับจัดงานศพให้กับชาวบ้านที่มีฐานะยากจนฟรีๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นชาวบ้านต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากให้กับทางรัฐในการจัดงานศพแต่ละครั้ง ดังนั้น มูลนิธิของเขาจึงช่วยแบ่งเบาภาระให้กับชาวบ้านในเรื่ องนี้ ทำให้ทางรัฐไม่ ชอบขี้หน้าของอูจ่อตูมาโดยตลอด
และเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา ช่วงที่พระสงฆ์ออกมาเดินประท้วงอย่างสันตินั้น อูจ่อตูได้ถวายอาหารแด่พระสงฆ์ซึ่ งนี่ อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่ งที่ ทางการพม่าสั่ งห้ามอูจ่อตูจัดการแสดงผลงานศิลปะของเขาในโอกาสต่างๆ แต่เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมาอูจ่อตูได้จัดงานแสดงภาพวาดเนื่องในวันเกิดของภรรยาสุดที่รักของเขาดอว์ฉ่วยซีกั้วหรือดอว์มิ้นมิ้นขิ่นเพที่บ้าน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พบกันเขาได้อธิบายเกี่ยวกับป้ายที่ติดไว้ตรงหน้าบ้านของเขาว่า “เนื่องจากผมจะทำอะไรหรือไปต่างจังหวัดก็มักจะมีสายลับคอยเดินตามหลังตลอด ผมจึงเขียนข้อความบนป้ายไว้อย่างนั้น”
อูจ่อตูเล่าถึงอุปสรรคในการทำงานเกี่ยวกับมูลนิธิว่า “จริงๆ แล้วผมอยากจะลงเล่นการเมือง แต่เกรงว่าจะกระทบต่อมูลนิธิเพราะมีคนมากมายที่พึ่งพามูลนิธิของเรา ชาวบ้านเค้ารู้ดีว่า หากต้องการฌาปนกิจศพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้องมาหาเรา แต่ถ้าในด้านการรักษาพยาบาลที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต้องพึ่งคลินิกตุคะกุตุ(สุขกุศลคลินิก) ซึ่งเป็นอีกมูลนิธิหนึ่งที่ช่วยเหลือชาวบ้านฐานะยากจน”
อูจ่อตูกล่าวอีกว่า ตอนนี้เขาอยากจะทำอะไรให้กับชาวบ้านอีกมาก แต่มีอุปสรรคหลายๆ อย่างที่ ทำให้การทำงานของเขาไม่ ค่อยราบรื่น เช่น ไม่ค่อยได้รับอนุญาตหรือความร่วมมือจากทางรัฐ และถูกทางกระทรวงสาธารณสุขต่อว่าบ่อยๆ เกี่ยวกับการทำงานช่วยเหลือชาวบ้าน เขาเกรงว่าถ้าหากลงเล่นการเมืองจริงๆ ก็จะกระทบต่อมูลนิธิซึ่งที่ผ่านมาทางรัฐบาลมีความพยายามอย่างหนักที่จะปิดมูลนิธิของเขานอกจากนี้ยังกีดกันไม่ให้เขาได้พบกับลูกที่อยู่ต่างประเทศโดยการไม่อนุญาตให้เขาเดินทางออกนอกประเทศอีกด้วย
“ขนาดผมไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและทำงานเพื่อสังคมเพียงอย่างเดียว รัฐบาลยังมาห้ามผมแสดงหนัง ในขณะเดียวกันลูก ๆ ของผมก็กลับมาที่ประเทศพม่าไม่ได้ ตัวผมเองก็ไปพบลูกไม่ได้การกระทำของพวกเขานั้นโหดร้ายจนเกินไป” อูจ่อตูกล่าว
อย่างไรก็ตาม งานแสดงภาพวาดอูจ่อตูครั้งนี้ได้จัดแสดงภาพศิลปะแบบผสม(mixed media) ทั้งหมด 30 ภาพ ร่วมกับศิลปะการแสดงสด(Performance Art) โดยทุกภาพล้วนแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศพม่า โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่ไม่ต้องอธิบายมากก็สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้ แต่ดูเหมือนภาพที่คนให้ความสนใจมากที่สุดคือ ภาพที่ชื่อว่า “Freedom”
ภาพนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับภายในห้องขังเรือนจำ มีประตูห้องขังและไฟกำลังเปิดอยู่ ความพิเศษของภาพนี้เป็นลักษณะคล้ายๆ กับว่าเรากำลังมองลงมาจากนอกโลกไปยังเรือนจำอินเส่ง ด้านบนของรูปภาพมีนกสันติภาพคาบก้านมะกอกกำลังบิน 7 ตัว ส่วนใต้ผืนผ้าใบภาพจะมีโซ่ล่ามและอ่างอยู่ด้วย
“ตอนแรกว่าจะวาดนกตัวเดียวคาบก้านมะกอก ซึ่งผมต้องการสื่อว่าเป็นตัวแทนของคุณแม่ซู (นางอองซาน ซูจี) แต่ตอนหลังผมวาดรูปนกและก้านมะกอกใส่เพิ่ม” อูจ่อตูกล่าว แต่เห็นภาพนี้แล้วยิ่ งทำให้ผมนึกถึงผู้ต้องขังในเรือนจำช่วงฤดูหนาวที่ พวกเขาต้องนอนบนพื้นกระเบื้องที่เย็นยะเยือก
“พูดถึงนักโทษการเมือง ภาพนี้อยากจะให้คนที่อยู่ข้างนอกได้เข้าใจถึงความทุกข์ยากลำบากและความรู้สึกของคนที่อยู่ข้างใน” อูจ่อตูกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาตั้งใจให้ประตูเรือนจำนั้นมีเสียงตอนที่เปิดและปิด ซึ่งจะสร้างความหวาดกลัวให้คนที่ได้ยินอยู่ไม่น้อย
ขณะที่ AAPP องค์กรที่ช่วยเหลือนักโทษการเมืองในประเทศพม่าเปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักโทษการเมืองในประเทศพม่าอยู่ทั้งหมด2,200 คน พวกเขาเหล่านั้นต้องติดคุกโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
อีกภาพหนึ่งที่ดึงดูดคนที่มางานนี้อยู่ไม่น้อยก็คือภาพที่มีชื่อว่า “ถนนทางออก” ซึ่งต้องการสื่อว่า สถานที่ที่มนุษย์ทุกคนมุ่งหวังและต้องการที่จะไปให้ถึงก็คือสถานที่แห่งสันติภาพ แต่กว่าจะไปถึงที่แห่งนั้นได้ บนเส้นทางย่อมเต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรค โดยมีภาพไฟลุกโชนอยู่ส่วนล่างของภาพและมีผืนจีวรเต็มไปด้วยรูกระสุนและเลือดประกอบอยู่ใต้ผ้าใบ
![]() |
“ถนนทางออก” |
อูจ่อตูอธิบายเกี่ยวกับภาพนี้ให้ฟังอีกว่า “ภาพนี้คิดได้สองอย่างสำหรับศาสนาพุทธกว่าจะไปถึงนิพพานได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายต้องผ่านความอยากลำบากมากมาย” ซึ่งผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะนางอองซาน ซูจีเองก็เคยบอกว่า “สิ่งที่มีค่านั้นได้มายาก นี่คือกฎธรรมชาติของมนุษย์”
แม้ว่ าภาพนี้ดูเหมือนต้องการสื่ อถึงความยากลำบากในการเดินทางไปสู่นิพพาน แต่ในขณะเดียวกันก็ดูสามารถตีความเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนกันยายนปีพ.ศ.2550 ที่พระสงฆ์ได้ออกมาประท้วงรัฐบาล เห็นได้จากจีวรที่แขวนไว้ใต้รูปภาพ โดยมีหนามติดอยู่บนจีวรผืนนี้ นอกจากนี้ยังมีรูกระสุนและคราบเลือดเปื้อนอยู่บนจีวรด้วยหากย้อนกลับไปในปีพ.ศ. 2550 ก็จะเห็นว่าพระสงฆ์ที่ออกมาประท้วงอย่างสันติกลับถูกรัฐบาลทหารพม่าฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีภาพอื่นๆ ที่ต้องการสื่อถึงนางอองซานซูจีที่ ได้รับการปล่อยตัวจากการถูกกักขังบริเวณบ้านพัก รวมถึงการประท้วงของนักศึกษาปี พ.ศ. 2531 ภาพการรำแบบพม่า หรือแม้แต่ภาพ “หม้อพม่า” ที่มีชื่อว่า “โอบามา”* บ่งบอกถึงช่วงที่โอบามาขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ รวมถึงภาพที่ชื่อ “เส้นทางคานธี” ภาพนี้พูดถึงเส้นทางไปสู่สันติภาพที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม
ในงานแสดงภาพวาดของอูจ่อตูที่ ผ่านมา นางซูจีก็ได้มาร่วมชมผลงานด้วย ซึ่งเธอให้ความสนใจกับภาพที่มีนก 88 ตัว โดยในภาพมีนกตัวหนึ่งกำลังโผบินจากไปก่อนนกตัวอื่นๆ ที่ อยู่ บนสายไฟฟ้าซึ่งเมื่อเห็นภาพนี้แล้ว นางซูจีถึงกับยิ้มออกมาและถามอูจ่อตูกลับว่า “นกครบ 88 ตัวจริงรึเปล่า?”
ก่อนกลับนางซูจีได้วาดภาพสีน้ำมันเพื่อมอบเป็นของที่ระลึกให้กับอูจ่อตู แต่เธอลงพู่กันแค่สามสี่ครั้งก็หันมามองอูจ่อตูและพูดขึ้นว่า “ลูกวาดต่อเถอะ” จากนั้นนางซูจีก็เดินทางกลับ อูจ่อตูได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นางซูจีตั้งใจวาดภาพไม่เสร็จ เพราะต้องการบอกกับเขาว่า แม้ความอยากลำบากจะมาเยือนมากมายสักแค่ไหนก็จงอย่าท้อแท้แต่ต้องสู้ต่อไป
“ท่านบอกว่าให้ลูก (อูจ่อตู) วาดต่อจากที่ท่านวาดไว้ แต่ผมไม่กล้าวาดต่อ เพราะผมไม่กล้าลบลายเส้นที่เป็นฝีมือการวาดของแม่ (นางอองซาน ซูจี) ผมไม่กล้าโตกว่าแม่หนึ่งเดือน ผมจึงเก็บภาพฝีมือของท่านเอาไว้อย่างนั้นเหมือนเดิม” อูจ่อตูกล่าว.