โดย นานาตี
ว่ากันว่า คำจำกัดความของ“ผู้หญิงสวย” นั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนในแต่ละสถานที่แต่ละยุคสมัย บ้านเรายุคนี้สาวๆ ต้องขาวหมวยสไตล์เกาหลี ซึ่งฝรั่งมังค่าแถบยุโรปอาจส่ายหัวเพราะนิยมผิวเข้มมากกว่า สวยของเราอาจขี้เหร่ในสายตาคนอื่น มีสารคดีในทีวีอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชนเผ่าในอัฟริกาที่เจาะริมฝีปากและใส่แผ่นไม้กลมๆ แบนๆ มีลวดลายขนาดพอๆ กับจาน ยิ่งแผ่นไม้มีขนาดใหญ่เท่าไหร่ถือว่ายิ่งสวย กลายเป็นสาวฮ็อตที่หนุ่มๆ ในหมู่บ้านต่างก็หมายปอง
เมื่อพูดถึงเครื่องประดับแปลกๆ ก็ทำให้นึกถึงการเดินทางไปยังรัฐอาระกันเมื่อสองปีที่แล้ว เราได้พบกับผู้หญิงชนเผ่าหนึ่งที่มีเครื่องประดับคล้ายๆ ทำนองนี้อยู่เหมือนกัน แต่อาจไม่แรงเท่า
ชนเผ่าที่ว่านี้คือ “ชาวแต๊ะ” โดยหมู่บ้านที่เราไปเยือนตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองมรัคอู ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่แห่งสุดท้ายของอาณาจักรอาระกันในสมัยโบราณ ก่อนจะมาเป็นรัฐอาระกันส่วนหนึ่งของพม่าอย่างทุกวันนี้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาที่มรัคอูเพื่อชมเจดีย์โบราณเสียมากกว่า แต่ในช่วงหลังๆ บรรดาบริษัททัวร์ได้บรรจุหมู่บ้านนี้ในโปรแกรมการเดินทางเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าที่สนใจ
นักประวัติศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าชาวแต๊ะเป็นหนึ่งในชนชาติแรกๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า จากนั้นชาวแต๊ะได้อพยพขึ้นไปยังรัฐอาระกันและบังกลาเทศในเวลาต่อมาเนื่องจากสงครามและปัจจัยอื่นๆซึ่งชื่อจริงๆ ของชนเผ่าแต๊ะคือ “ชากมะ” แต่ชาวอาระกันเรียกพวกเขาว่า“แต๊ะ” มาจากคำว่า “อะแต๊ะ” หมายถึง “ชีวิต” ปัจจุบันชาวแต๊ะอาศัยอยู่ทั้งในบังกลาเทศและในรัฐอาระกัน โดยมีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตัวเอง
เราเดินทางจากโรงแรมที่ อยู่ ในตัวเมืองมรัคอูไปยังหมู่ บ้านนันจาที่ มี “ชาวแต๊ะ” อาศัยอยู่ บรรยากาศที่ นี่ ค่ อนข้างเงียบสงบเหมือนต่างจังหวัด ยังไม่ค่อยมีตึกสูงๆ สมัยใหม่ให้รกหูรกตาเหมือนในเมืองใหญ่ เส้นทางไปยังหมู่บ้านนั้นครึ่งหนึ่งเป็นถนนราดยางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ อีกครึ่งหนึ่งเป็นลูกรัง ระหว่างทางเห็นหญิงชาวบ้านแบกบุ้งกี๋เดินขนก้อนหินเพื่อซ่อมแซมถนน บ้างก็กำลังโปะก้อนหินที่ผสมยางมะตอยลงในหลุมบนผิวถนนด้วยมือเปล่า ขณะที่รถของเรากระเด้งกระดอนจนคนนั่งหัวสั่นหัวคลอน ก่อนจะจอดที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
เราเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยเล็กๆ ของหมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ไผ่ บางบ้านนั่งล้อมวงกันสานงอบขายเป็นอุตสาหกรรมเล็กๆในครัวเรือน ไม่นานนัก บรรดาแม่เฒ่าทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับตุ้มหูห่วงไม้กลมๆ ซึ่งสะดุดตาตั้งตาแรกเห็น จะว่าไปแล้วลักษณะคล้ายๆกับเด็กหนุ่มบ้านเราใส่(ที่ศัพท์วัยรุ่นเรียกกันว่าระเบิดหู) แต่ใหญ่กว่าหลายเท่ า แม่ เฒ่ าถอดห่ วงให้ดูเป็นห่ วงไม้ไผ่ กลวงขนาดประมาณแก้วน้ำเห็นจะได้ บางคนก็ใส่ตุ้มหูที่ทำจากโลหะสีเงินแถมมีห่วงเล็กๆขนาดเท่าแหวนร้อยอยู่ในห่วงใหญ่อีกทีหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ครบเซ็ทต้องคาบกล้องยาสูบด้วย หากขนาดของห่วงสัมพันธ์กับค่านิยมความงามในสมัยก่อนแล้วแล้วล่ะก็ แม่เฒ่าเหล่านี้ถือว่าความสวยอยู่ในระดับแนวหน้าก็ว่าได้
สังเกตเห็นตุ้มหูของแม่ เฒ่ าคนหนึ่ งทำจากพลาสติกสีขาวหน้าตาคุ้นๆ ปรากฏว่าเป็นแกนในของเทปกาวสองหน้าที่ใช้หมดแล้วขนาดพอดีกับวงหูของแม่เฒ่าเป๊ะ เป็นการดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปแถมยังอินเทรนด์ลดโลกร้อนด้วยการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ หรือ รียูส(reuse) อีกด้วย
จะว่าไปแล้ว ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่คงไม่ต่างกับความรู้สึกของบรรดาลูกเด็กเล็กแดงตัวเล็กตัวน้อยที่พากันวิ่งมาดูคนแปลกหน้าต่างถิ่นด้วยความตื่นเต้นอยู่ขณะนี้เท่าไหร่นัก
แม่เฒ่าบอกว่าเด็กหญิงชาวแต๊ะจะเริ่มเจาะหูและใส่ห่วงไม้ไผ่หรือโลหะตั้งแต่เด็กโดยจะเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันหมู่บ้านนี้คนที่ใส่ห่วงใหญ่ๆ จะเหลือแต่หญิงในวัยชรา ในขณะที่เด็กๆ หรือสาวๆไปจนถึงแม่บ้านวัยกลางคนจะเจาะหูใส่ตุ้มหูแบบสมัยใหม่กันหมดแล้วการเจาะหูวงใหญ่ๆ ไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ๆ อีกต่อไป
ขณะที่ทุกวันนี้ วิถีชีวิตของพวกเขานอกจากภาษาที่ยังพอพูดกันได้ในชุมชนแล้วแทบจะถูกกลืนหายไปกับชาวอาระกันและชาวพม่าจนหมด หากดูจากภายนอกก็คงมีแค่เพียงห่วงกลมๆ บนใบหูสองข้างของหญิงชราเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะบอกถึงความแตกต่างจากชาวอาระกันและชนเผ่าอื่นๆ ในพม่าได้อย่างชัดเจนที่สุด
ความสวยงามในอดีตของแม่เฒ่า วันนี้กลายเป็นของแปลกประหลาดสำหรับคนต่างถิ่นที่คนรุ่นหลังปฏิเสธที่จะสานต่อ คำจำกัดความของความสวยในหมู่ชาวแต๊ะได้เปลี่ยนไปแล้วตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม แต่ลิปสติกที่แดงระเรื่ออยู่บนริมฝีปากจิ้มลิ้มของสาวน้อยชาวแต๊ะในหมู่ บ้านชนบทเล็กๆ แห่ งนี้ มันบอกเราได้อย่างหนึ่งว่าถึงอะไรๆ จะเปลี่ยน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ชาติพันธุ์ไหน จะยากดีมีจนเท่าไรก็ไม่มีอะไรมาพรากความรักสวยรักงามออกไปจากสัญชาติญาณของผู้หญิงได้.